เขมรเดือดชื่อทักษิณโผล่ ชักศึกนอกดับศึกใน?


ไม่จบไม่สิ้น กับข้อพิพาทชายแดนเขาพระวิหาร ระหว่างไทยกับกัมพูชา หลังศาลโลกตัดสินให้กรรมสิทธิ์เหนือตัวปราสาทพระวิหาร ตกเป็นของกัมพูชาเมื่อปี 2505

เพราะหลังจากนั้น ทุกรัฐบาลทำได้เพียงแช่แข็งข้อพิพาท ด้วยการเตรียมปักปันเขตแดนใหม่ร่วมกัน

แต่ก็เป็นที่รู้กันว่า ไม่มีทางตกลงกันได้ เพราะพื้นที่ทับซ้อนรอบตัวปราสาท 4.6 ตารางกิโลเมตร ต่างฝ่ายต่างก็อ้างกรรมสิทธิ์ในดินแดน

ในที่สุด "เสียงปืนนัดแรก" ก็ดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อบ่ายวันที่ 15 ตุลาคม ที่เกิดการปะทะกันระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชา กว่า 40 นาที บริเวณปราสาทพระวิหาร

เป็นไปตามที่ก่อนหน้านี้ "สมเด็จฯ ฮุน เซน" นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ประกาศขีดเส้นตายเวลา 12.00 น. ของวันที่ 14 ตุลาคม ให้ทหารไทยถอนกำลังออกจากพื้นที่พิพาท ใกล้ปราสาทเขาพระวิหาร

ผลจากการปะทะ ทำให้ทหารฝ่ายกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย บาดเจ็บ 3 นาย ฝ่ายไทย บาดเจ็บ 5 นาย

สถานการณ์วันนี้ อยู่ในภาวะ หน้าสิ่วหน้าขวาน หากเชื้อปะทุของการปะทะ ลุกลามร้ายแรงถึงขั้นต้องทำสงครามระหว่างกัน

หากจะแบ่งวัดกัน ในแง่สรรพกำลัง กองทัพไทยที่มีกำลังทหารถึง 300,000 นาย ถือว่ามีแสนยานุภาพเหนือกว่า ไทยมีทั้งเครื่องบินขับไล่เอฟ-16 และเฮลิคอปเตอร์แบล็คฮอว์ค และแบบกันชิพโจมตี ขณะที่กัมพูชา มีเพียงเครื่องบินรบ มิก-21 2-3 ลำ ที่ยังไม่เคยบินขึ้นสู่อากาศ และมีเฮลิคอปเตอร์ขนส่งเก่าๆ ที่ได้มาสมัยโซเวียตจำนวนหนึ่งเท่านั้น

แต่กรณีเลวร้ายที่สุด สงครามอาจจะขยายไปสู่การรบแบบกองโจร คล้ายกับสงครามชายแดนปี 2530-2531 ระหว่างไทยกับลาวในสมรภูมิร่มเกล้า เพื่อชิงกรรมสิทธิ์เหนือเนิน 1428

ที่จบลงโดยกองทัพไทย เป็นฝ่ายสูญเสียเลือดเนื้อ เราอย่าลืมว่าทหารกัมพูชาเหมือนกับทหารลาว แม้ขาดอาวุธและได้รับเงินเดือนน้อย แต่ส่วนใหญ่เป็น ทหารป่า เชี่ยวชาญการรบแบบกองโจร

นอกจากนี้ พื้นที่ชายแดน ยังมีกับระเบิดหลายล้านลูกฝังอยู่ ที่ตกทอดมาตั้งแต่สมัยสงครามเขมร 4 ฝ่าย อาจทำให้ฝ่ายไทยเสียชีวิตและบาดเจ็บอย่างหนัก เพราะความได้เปรียบระหว่าง คนวาง กับ คนกู้ นั้นต่างกัน

ทีนี้มาลองวิเคราะห์ สาเหตุของปัญหาพิพาท และท่าทีแข็งกร้าวของ "สมเด็จฯ ฮุน เซน" ในครั้งนี้

หลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ตรงกันว่า เป็นการช่วงชิงจังหวะเคลื่อนไหวในยามที่ไทยกำลังเซ และง่วนอยู่กับการจัดการศึกการเมืองภายในบ้าน

แต่ทว่า ประโยชน์ของกัมพูชาน่าจะชัดเจนน้อยกว่า เพราะ "สมเด็จฯ ฮุน เซน" ก็ได้รับชัยชนะไปแล้ว ในการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา หลังเล่นเกมเรียกคะแนนความนิยม ด้วยการผลักดันการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร เป็นมรดกโลกจนสำเร็จ

ทำให้ "พรรคประชาชนกัมพูชา" หรือซีซีพี ของ "สมเด็จฯ ฮุน เซน" กวาดที่นั่งในสภาได้ 90 ที่นั่ง เหนือคู่แข่ง "พรรคสม รังสี" หรือเอสอาร์พี ที่ได้ 26 ที่นั่ง "พรรคสิทธิมนุษยชน" หรือเอชอาร์พี "พรรคฟุนซินเปก" และ "พรรคนโรดมรณฤทธิ์" ที่แบ่งกันพรรคละ 2 ที่นั่ง

จึงเป็นที่กังขาว่า เหตุใด "สมเด็จฯ ฮุน เซน" จึงยังเล่นบทโหดไม่ยอมเลิก

นักวิเคราะห์หลายราย มองว่า มีประเด็นการเมืองภายในกัมพูชาเกี่ยวข้องด้วย
เพราะการตั้ง ครม.ชุดใหม่ของ "สมเด็จฯ ฮุน เซน" ยังไม่บรรลุ โดยมีข่าว ชื่อ "ฮอร์ นัม ฮง" หลุดโผ จึงไม่แปลกที่ "ฮอร์ นัม ฮง" จะขยันออกมาให้ข่าวถล่มไทยทุกด้าน

วันนี้ปัญหาพิพาทชายแดนเขาพระวิหาร มีโครงสร้างสลับซับซ้อน ทั้งปัจจัยภายในภายนอก ที่ยังเป็นปริศนา?

ยิ่งไปกว่านั้น "พรรคประชาธิปัตย์" อาทิ "ไกรศักดิ์ ชุณหะวัน" และ "พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค" ยังออกมาตั้งข้อสังเกตว่า มีผู้อยู่เบื้องหลังท่าทีแข็งกร้าวของกัมพูชา เพื่อมุ่งหวังสร้างสถานการณ์ กลบกระแสการเมืองภายในของไทย

และชื่อ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ถูกนำมาโยนใส่กระดานอีกครั้ง

จริงไม่จริงไม่มีใครทราบได้ แต่ ในภาวะที่รัฐบาล "สมชาย วงศ์สวัสดิ์" กำลังเผชิญแรงกดดันอย่างมาก ด้วยการประท้วงของ "กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" จนถึงขั้นแตกหัก กับเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา

ปัญหาพิพาทไทย-กัมพูชา ก็ได้ช่วยกลบกระแสการเมืองภายในจนเกือบหมด

ส่วนข้อหา ที่ตกอยู่กับ "พ.ต.ท.ทักษิณ" อีกครั้งนั้น ก็เกิดขึ้นจากสายสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน ของ "พ.ต.ท.ทักษิณ" กับ "สมเด็จฯ ฮุน เซน"

ที่เป็นที่รู้กันว่า ใกล้ชิดกันอย่างมาก ตั้งแต่สมัย "พ.ต.ท.ทักษิณ" ยังไม่เข้าการเมือง และยังทำธุรกิจด้านโทรคมนาคม และมีโอกาสเข้าไปบุกเบิกขุมทองในกัมพูชา

พิสูจน์ความใกล้ชิดอีกครั้ง เมื่อปี 2546 ในเหตุการณ์เผาสถานทูตไทยในกัมพูชา ซึ่ง "พ.ต.ท.ทักษิณ" นายกฯในขณะนั้น สามารถ "เคลียร์" ได้อย่างรวดเร็ว และนำเครื่องบิน ซี-130 รับข้าราชการสถานทูต และคนไทยในกัมพูชาออกมาได้อย่างปลอดภัย ภายใต้พาวเวอร์ช่วยเจรจา ของ "พล.อ.วิชิต ยาทิพย์" นายทหารคนสนิท "พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ"

และล่าสุดช่วงเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา หลัง "พ.ต.ท.ทักษิณ" ได้กลับมากราบแผ่นดินไทย ก็ได้เดินทางไปในนามส่วนตัว เพื่อพบปะ และตีกอล์ฟกับสหายเก่า ที่ชื่อ "สมเด็จฯ ฮุน เซน" ท่ามกลางกระแสข่าวที่ฝ่ายกัมพูชาปูดออกมาเองว่า "พ.ต.ท.ทักษิณ" สนใจลงทุนด้านเอนเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ ที่เกาะกง

แม้วันนี้ ข้อกล่าวหาใหม่ ที่มีต่อ "พ.ต.ท.ทักษิณ" จะยังรอเวลาพิสูจน์

แต่ฝ่ายที่ออกมาตีประเด็นเรื่องนี้ ก็ระวังแรงสะท้อนกลับอย่างหนักหน่วงเช่นกัน เพราะถ้าไม่สามารถนำหลักฐานมาเพิ่มน้ำหนักได้

ข้อหา "ตีกิน" และ "ห้อยโหน" ก็จะติดตัวไปอีกนาน จนยากที่จะได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง...

เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์