เปิดคำฟ้องยึดทรัพย์ทักษิณ7.6หมื่นล้าน

เปิดคำร้องอัยการสูงสุด ให้ศาลฎีกานักการเมืองสั่งยึดทรัพย์ “ทักษิณ” 7.6 หมื่นล้านบาทเศษ ตกเป็นของแผ่นดินแล้ว คำร้อง 125 หน้า บรรยายพฤติการณ์ทักษิณร่ำรวยผิดปกติ ใช้ตำแหน่งนายกฯ หัวหน้ารัฐบาลออกนโยบาย เอื้อประโยชน์ชินคอร์ป


ตามฟ้องโจทก์สรุปว่า
 
เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2551 คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) มีหนังสือถึงอัยการสูงสุดแจ้งว่า คตส.ได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากการตรวจสอบไต่สวนและมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ถูกกล่าวหา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายมีอำนาจหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ 2544-มีนาคม 2548
ได้ปกปิดการถือหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 1,149,490,150 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 48 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด


 โดยที่ผู้ถูกกล่าวหาและคู่สมรส (คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา) เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่แท้จริง
 
แต่ใช้ชื่อนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย ถือหุ้นแทนจำนวน 458,550,000 หุ้น น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรสาว ถือหุ้นแทนจำนวน 604,600,000 หุ้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว ถือหุ้นแทนจำนวน 20,000,000 หุ้น และนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายบุญธรรมคุณหญิงพจมาน ถือหุ้นแทนจำนวน 336,340,150 หุ้น โดยที่บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทได้รับสัมปทานกิจการโทรคมนาคมจากรัฐ ซึ่งเป็นการฝ่าผืนบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540, พ.ร.บ.การจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ.2543 และ พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช. พ.ศ.2542 มาตรา 32, 33 และ 100 ซึ่งมีความผิดอาญา มาตรา 119 และ 122


ในระหว่างที่ผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งนายกฯ ก็ได้ปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ สั่งการ มอบนโยบาย รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานของรัฐภายใต้บังคับบัญชา หรือกำกับดูแลของผู้ถูกกล่าวหากระทำการที่เป็นการเอื้อประโยชน์แก่บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือเป็นจำนวนมาก คือ


 1.กรณีแปลงค่าสัมปทานเป็นค่าภาษีสรรพสามิต โดยมีการตรา พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 พ.ศ.2546 ซึ่งกรณีดังกล่าวทำให้มีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากกิจการโทรคมนาคม โดยให้นำค่าสัมปทานมาหักกับภาษีสรรพสามิต อันเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กิจการของผู้ถูกกล่าวหาและพวกพ้อง อีกทั้งยังมีการกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตเพิ่มสูงขึ้นเป็นร้อยละ 20-50 ทำให้ผู้ประกอบการรายใหม่ต้องรับภาระมากขึ้น ในขณะที่ผู้ประกอบการรายเดิมมีสิทธินำค่าสัมปทานไปหักจากภาษีของตนได้ พฤติกรรมของผู้ถูกกล่าวหาจึงเป็นการกีดกันระบบโทรคมนาคมเสรีอย่างแท้จริง ทำให้ไม่มีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาประกอบกิจการแข่งขันกับบริษัทเอไอเอส


 2.กรณีการแก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ลงวันที่ 27 มีนาคม 2533 (ครั้งที่ 6) เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2544 ปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า ให้แก่บริษัท เอไอเอส ซึ่งจากการจัดทำข้อตกลงต่อท้ายสัญญา (ครั้งที่ 6) ดังกล่าว ส่งผลให้บริษัทเอไอเอสจ่ายส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้าให้แก่ บริษัท ทศท ในอัตรา 20% คงที่ตลอดอายุสัญญาสัมปทานตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2544 จากเดิมที่ต้องจ่ายตามสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นแบบก้าวหน้าในอัตรา 25% ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2543-30 กันยายน 2548 และในอัตรา 30% ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2548-30 กันยายน 2548 ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดสัญญาสัมปทาน


 3.กรณีการแก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ฉบับลงวันที่ 27 มีนาคม 2533 (ครั้งที่ 7) เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2545 เพื่ออนุญาตให้ใช้เครือข่ายร่วม และให้หักค่าใช้จ่ายจากรายรับ และกรณีการปรับลดอัตราค่าใช้เครือข่ายรวม เป็นการเอื้อประโยชน์แก่บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่นฯ และบริษัท เอไอเอส การแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาที่ให้บริษัท เอไอเอส เข้าไปใช้เครือข่ายร่วมผู้ให้บริการรายอื่นมีผลต่อการจ่ายเงินผลประโยชน์ที่บริษัท เอไอเอส ต้องจ่ายให้แก่ บริษัท ทศท และบริษัท กสท ไม่น้อยกว่า 18,970,579,711 บาท กลายเป็น บริษัท เอไอเอส จะได้รับผลประโยชน์ที่ไม่ต้องจ่ายเงินจำนวนดังกล่าว ซึ่งบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่นฯ ที่ผู้ถูกกล่าวหาถือหุ้นเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท เอไอเอส ดังนั้นผลประโยชน์ที่บริษัท เอไอเอส ได้รับดังกล่าวจึงตกกับหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่นฯ ที่ผู้ถูกกล่าวหาถือในระหว่างดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นเหตุให้หุ้นมีมูลค่าสูงขึ้น จนกระทั่งได้มีการขายหุ้นให้แก่กลุ่มเทมาเส็กของประเทศสิงคโปร์
 

 4.กรณีละเว้น อนุมัติ ส่งเสริม สนับสนุนธุรกิจดาวเทียมตามสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศโดยมิชอบหลายกรณี ได้แก่ การอนุมัติโครงการดาวเทียมไอพี สตาร์, การอนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทาน ครั้งที่ 5 วันที่ 27 ตุลาคม 2547 ลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่นฯ ในบริษัท ชิน แซทเทลไลท์ ที่เป็นผู้ขออนุมัติสร้างและส่งดาวเทียมไทยคม และการอนุมัติให้ใช้เงินค่าสินไหมทดแทนของดาวเทียมไทยคม 3 จำนวน 6.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไปเช่าช่องสัญญาณต่างประเทศ อันเป็นการเอื้อประโยชน์บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่นฯ และบริษัท ชิน แซทฯ


 5.กรณีอนุมัติให้รัฐบาลสหภาพพม่ากู้เงินจากธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) เพื่อนำไปซื้อสินค้าและบริการของบริษัท ชิน แซทฯ โดยเฉพาะ ซึ่งครั้งแรกผู้ถูกกล่าวหาได้สั่งการเห็นชอบให้เอ็กซิมแบงก์ให้วงเงิน 3,000 ล้านบาท แก่รัฐบาลสหภาพพม่า แล้วต่อมาได้สั่งการเห็นชอบเพิ่มวงเงินกู้อีก 1,000 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 4,000 ล้านบาท สำหรับโครงการพัฒนาระบบโทรคมนาคมของสหภาพพม่า โดยให้กู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าต้นทุน รวมทั้งให้ขยายระยะเวลาปลอดการชำระหนี้ การจ่ายเงินต้นจาก 2 ปี เป็น 5 ปี เพื่อประโยชน์ของบริษัท ชิน แซทฯ ที่ผู้ถูกกล่าวหาและครอบครัวชินวัตรกับพวกมีผลประโยชน์ถือหุ้นอยู่ ในการให้ได้รับงานจ้างพัฒนาระบบโทรคมนาคมจากรัฐบาลสหภาพพม่า


นอกจากนี้ ในระหว่างที่ผู้ถูกกล่าวหาเป็นหัวหน้ารัฐบาลในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

ได้เสนอกฎหมายแก้ไข พ.ร.บ.เป็น พ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม ฉบับที่ 2 พ.ศ.2549 ที่เป็นผลให้บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่นฯ ซึ่งประกอบธุรกิจในกิจการโทรคมนาคมสามารถมีผู้ถือหุ้นที่เป็นบุคคลต่างด้าวได้ไม่เกินร้อยละ 50 โดย พ.ร.บ.ดังกล่าวมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2549 โดยปรากฏว่าในวันที่ 23 มกราคม 2549 ได้มีการขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่นฯ จำนวน 1,149,490,150 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 48 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด โดยที่ผู้ถูกกล่าวหาและคู่สมรสเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่แท้จริง แต่ใช้ชื่อนายพานทองแท้ น.ส.พินทองทา น.ส.ยิ่งลักษณ์ และนายบรรณพจน์ ถือหุ้นแทน ให้แก่กลุ่มเทมาเส็กของประเทศสิงคโปร์ โดยมีบริษัท ซีดาร์โฮลดิ้งส์ จำกัด และบริษัท แอสแพนโฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นนิติบุคคลต่างด้าว เป็นผู้ซื้อ เป็นจำนวนเงินสุทธิหลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้วรวม 69,722,880932.05 บาท ซึ่งตั้งแต่ปี 2546-2548 บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่นฯ ได้จ่ายเงินปันผลตามหุ้นจำนวนดังกล่าวรวมเป็นเงินจำนวนทั้งหมด 6,898,722,129 บาท รวมเป็นเงินที่ได้รับจากหุ้นดังกล่าวทั้งหมดจำนวน 76,621,603,061.05 บาท
 

 ดังนั้นเงินจำนวนดังกล่าวจึงเป็นทรัพย์สินที่ได้มาเนื่องจากการกระทำที่เป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม และเป็นกรณีที่ได้ทรัพย์สินมาโดยไม่สมควร สืบเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่อันเป็นการร่ำรวยผิดปกติ จึงส่งเรื่องให้อัยการสูงสุด เพื่อยื่นเรื่องต่อศาลฎีกาฯ ขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินจำนวน 76,621,603,061.05 บาท ตกเป็นของแผ่นดิน ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช. พ.ศ.2542 มาตรา 80

 โดยในชั้นไต่สวน คตส.อาศัยอำนาจตามประกาศ คปค. ฉบับที่ 30 ข้อ 5 และข้อ 8 มีคำสั่งอายัดเงินและทรัพย์สินที่ได้มาจากการขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่นฯ ให้แก่กลุ่มเทมาเส็ก และเงินปันผลตามจำนวนหุ้นที่ได้รับในช่วงปี 2546-2548 รวม 15 คำสั่ง รวมเป็นเงิน 73,667,987,902.60 บาท พร้อมดอกผล ซึ่งได้รับแจ้งยืนยันสามารถอายัดเงินและทรัพย์สินไว้ได้บางส่วน


 คดีนี้ผู้ร้องมี นายแก้วสรร อติโพธิ นายสัก กอแสงเรือง และบุคคลอื่นเป็นพยาน ในการไต่สวนพบหลักฐานการปกปิดอำพรางการถือหุ้นในบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่นฯ กับพวก และมีพยานเอกสารซึ่ง คตส.ได้รวบรวมไว้ในชั้นไต่สวน โดยขอให้ศาลมีสั่งยึดอายัดเงินและทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหาพร้อมดอกผลไว้ต่อไปจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด


ขั้นตอนการยึดทรัพย์ "ทักษิณ" 


 สำหรับขั้นตอนคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งตามกฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กำหนดว่าเมื่ออัยการสูงสุดยื่นคำร้องคดีแล้ว ประธานแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะเสนอประธานศาลฎีกาเรียกประชุมใหญ่ศาลฎีกาเพื่อเลือกผู้พิพากษาศาลฎีกา 9 คนเป็นองค์คณะ


 จากนั้นองค์คณะจะเลือกผู้พิพากษา 1 คนเป็นเจ้าของสำนวนพิจารณาว่า

จะรับคำร้องไว้พิจารณาหรือไม่ หากองค์คณะเห็นควรรับคำร้องไว้ก็จะมีคำสั่งนัด "พิจารณาคดีครั้งแรก" พร้อมกับออกหมายแจ้งคำสั่ง พร้อมคำร้องคดีให้ พ.ต.ท.ทักษิณทราบ และปิดประกาศที่หน้าศาลฎีกาหรือประกาศในหนังสือพิมพ์ 3 วัน เพื่อให้บุคคลภายนอก ที่อาจมีชื่อเป็นเจ้าของทรัพย์สินอยู่ด้วยรับทราบและใช้สิทธิโต้แย้งโดยทำคำคัดค้านยื่นต่อศาลได้ จากนั้นศาลจะนัดอัยการสูงสุดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ มาศาลในวันพิจารณาครั้งแรก ซึ่งในวันดังกล่าวจะมีการกำหนดพยานหลักฐานหรือกำหนดวันไต่สวน


 ทั้งนี้ ระหว่างวันตรวจพยานหลักฐาน หาก พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่โต้แย้งคำร้องของอัยการสูงสุด กฎหมายกำหนดให้ศาลไม่ต้องกำหนดวันไต่สวนพยานหลักฐาน แต่ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณโต้แย้งคำร้องศาล ก็ต้องกำหนดวันไต่สวนพยานหลักฐาน


  สำหรับวิธีการไต่สวนนั้น กฎหมายกำหนดให้ศาลไต่สวนพยานหลักฐานฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ และคำคัดค้านของบุคคลภายนอก ถ้าหากได้ยื่นคำร้องเข้ามาเสียก่อนแล้ว จึงไต่สวนพยานหลักฐานอัยการสูงสุดผู้ร้อง


 ในส่วนการไต่สวนคดี กฎหมายกำหนดให้ภาระการพิสูจน์ตกแก่ผู้ถูกกล่าวหาคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ถ้าสามารถพิสูจน์ได้ว่าทรัพย์สินได้มาโดยปกติ ศาลต้องยกคำร้อง โดยไม่ต้องวินิจฉัยคำคัดค้านของบุคคลภายนอก หาก พ.ต.ท.ทักษิณพิสูจน์ไม่ได้ ศาลจะมีคำสั่งยึดทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดิน


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์