แฉมากกว่า 1 โดนยุบพรรค

ปริญญา ขู่แฉกลับคนขับไล่ กกต.



ผู้สื่อข่าวรายงานจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่า เมื่อเวลา 10.00 น. วานนี้ (5 มิ.ย.) พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ประธาน กกต. นายปริญญา นาคฉัตรีย์ และนายวีระชัย แนวบุญเนียร กกต.ได้ทยอยเดินทางมายังสำนักงาน โดยการประชุม กกต.ช่วงเช้ามีการพิจารณาคำชี้แจงของ พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รมว.กลาโหม กรณีพรรคการเมืองใหญ่จ้างพรรคการเมืองเล็ก โดยนายปริญญากล่าวภายหลังประชุมเพียงสั้นๆว่า ขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป เมื่อถามต่อว่าข้อสรุปของ กกต.จะถึงขั้นเปลี่ยนแปลงข้อสรุปเบื้องต้นของอนุกรรมการสอบสวนชุดนายนาม ยิ้มแย้ม หรือไม่


นายปริญญากล่าวว่า อีก 2 วันรอฟังผลแล้วกัน แต่ข้อมูลที่รวบรวมได้ก็ทำให้ได้ข้อสรุปที่ดีขึ้น เมื่อถามอีกว่า กกต.ต้องสรุปสำนวนว่าผิดหรือไม่ผิดก่อนใช่หรือไม่ จึงจะส่งให้อัยการสูงสุด นายปริญญากล่าวว่า ขณะนี้ก็กำลังรวบรวมอยู่ และ กกต.คงต้องคุยกันก่อน แต่ตอนนี้ถือว่าได้ข้อมูลเพิ่มขึ้น


นายปริญญากล่าวถึงกรณีที่หลายฝ่ายออกมากดดันให้ กกต.ตัดสินใจลาออกว่า บุคคลที่กล่าวหา กกต. ว่าบกพร่อง ไม่เป็นประชาธิปไตย คนที่พูดวันหนึ่งจะถูกแฉออกมา กกต.กำลังรวบรวมหลักฐานอยู่ ขอให้อดใจรอสักนิด เพราะอีกสักพักหลักฐานต่างๆจะออกมา โดยอยากเอาคนที่ไม่ดีออกไปจากสังคมการเมืองบ้านเรา

อย่าเพิ่งไล่ผมออก ให้ผมได้ทำหน้าที่ต่างๆให้เรียบร้อยก่อน สังเกตให้ดีคนไหนออกมาไล่ กกต.คนนั้นอาจเข้าข่ายก็ได้ คนทำไม่ดีจะร้อนตัว ยิ่งไล่ กกต.ได้เมื่อไหร่ ตัวเองก็จะได้รอดพ้น พรรคการเมืองแม้จะใหญ่ แค่ไหน หรือเล็กก็ตาม หากทำผิดต้องถูกยุบพรรค เมื่อหลักฐานครบถ้วนแล้ว ต้องมีพรรคการเมืองยุบพรรคแน่นอน ผมว่าหลักฐานตอนนี้มีมากกว่า 1 พรรค นายปริญญากล่าว

วาสนา ปิดปากเงียบเรื่องหนังสือ


กกต.ทุกคนทำความดีมาตลอดชีวิต

นายปริญญากล่าวอีกว่า ให้ดูคนที่ออกมาอาละวาด ให้ กกต.ต้องไปภายใน 3 วัน เพราะว่าบุคคลเหล่านั้นกลัว เพราะได้ไปสร้างความไม่ดีเอาไว้ ที่บอกว่า กกต.ไม่เป็นประชาธิปไตย บอกว่าการเลือกตั้ง 2 เม.ย. เข้าข้างรัฐบาล ทั้งหมดรัฐบาลเป็นผู้กำหนด หาก กกต.ไม่ปฏิบัติตามก็ผิดกฎหมาย กกต.ทุกคนสะสมความดี ทำงานมาตลอดชีวิต และได้รับการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเข้ามา กกต.จะทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องไม่ได้ ขณะนี้ไปเดินที่ไหนก็ไม่กล้ามองหน้าคนแล้ว ทุกคนมอง กกต.เป็นโจร เราจะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเราไม่ใช่โจร จะต้องชี้แจงต่อศาลและประชาชน ผลงานที่จะออกมาจะชี้ให้เห็นว่า กกต.ที่ถูกกล่าวหาว่าไม่เป็นกลางนั้น ไม่ใช่ คาดว่าผลการรวบรวมหลักฐานที่จะออกมาอีกไม่นาน จะทำให้คนหันกลับมาเชื่อมั่น กกต.


พล.ต.อ.วาสนากล่าวว่า จะมีการสรุปผลสอบกรณีดังกล่าวในอีก 2 วันข้างหน้า ให้รอไปก่อน ส่วนหนังสือที่ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่าจะพิมพ์เสร็จวันอังคาร ขณะนี้ยังไม่ได้เริ่มพิมพ์ เมื่อถามว่าหนังสือดังกล่าวเป็นกรณีใด พล.ต.อ.วาสนาปฏิเสธที่จะตอบคำถามและเดินเข้าห้องทำงาน

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในช่วงบ่ายไม่มีการประชุม กกต. เนื่องจากนายวีระชัยเดินทางไปพบแพทย์ อย่างไร ก็ตามตลอดช่วงบ่าย ผู้สื่อข่าวก็ยังคงเฝ้ารอสัมภาษณ์ พล.ต.อ.วาสนา เพื่อถามถึงความชัดเจนเรื่องหนังสือแฉพฤติกรรมคนที่กดดัน กกต. โดยเมื่อเวลา 16.30 น. พล.ต.อ.วาสนาได้เดินออกจากห้องทำงานเพื่อไปห้องทำงานนายปริญญา ผู้สื่อข่าวจึงได้ถามว่าจะแจกหนังสือเมื่อไหร่ พล.ต.อ.วาสนายิ้มพร้อมกับกล่าวว่า ทำไมผมต้องรายงานให้พวกคุณทราบทุกเรื่อง จากนั้นไม่นาน พล.ต.อ.วาสนาเดินกลับออกมาเนื่องจากไม่พบนายปริญญา โดยทราบว่าเดินทางกลับบ้านไปแล้ว ทำให้ พล.ต.อ.วาสนามีสีหน้าเคร่งเครียด เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามว่าจะทราบผลการสรุปทุกเรื่องในอีก 2 วันหรือไม่ พล.ต.อ.วาสนากล่าวเพียงว่า ใช่ จากนั้นก็รีบเดินกลับไปยังห้องทำงานทันที

รู้ตัวมือดีแพร่ผลสอบอนุกรรมการฯ



นายรุ่งฤทธิ์ มกรพงศ์ รองเลขาธิการ กกต. ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง ในฐานะประธานอนุกรรมการสอบสวน กรณีข้อมูลของอนุกรรมการสอบพรรคการเมืองขนาดใหญ่ว่าจ้างพรรคการเมืองขนาดเล็กลงสมัครรับเลือกตั้ง ที่มีนายนาม ยิ้มแย้ม อดีตรองประธานศาลฎีกาเป็นประธาน รั่วไหลถึงสื่อมวลชน กล่าวว่า ขณะนี้รู้ตัวคนที่นำผลสอบไปเผยแพร่แล้ว แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้เพราะไม่มีอำนาจ ได้ส่งผลสอบให้ พล.ต.ต.เอกชัย วารุณประภา เลขาธิการ กกต.แล้ว และต้องไปถามเลขาธิการ กกต.เอง ทั้งนี้ บทลงโทษขึ้นกับผู้บังคับบัญชาแต่ละคนจะพิจารณาโดยต้องตั้งกรรมการสอบ จะมีโทษตั้งแต่ว่ากล่าวตักเตือน หรือขึ้นกับการพิจารณา

อย่างไรก็ดี พล.ต.ต.เอกชัยที่อยู่ระหว่างการลาป่วย ได้ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ว่า ผลสอบของอนุกรรมการฯ ยังไม่ถึงมือ เนื่องจากนี้ยังเหลืออีก 2 วันที่จะครบกำหนดการสอบสวน

ส.ว.สายรัฐบาลออกโรงหนุน กกต.

ที่รัฐสภา นายประเกียรติ นาสิมมา อดีต ส.ว.ร้อยเอ็ด นายนิคม เชาว์กิตติโสภณ อดีต ส.ว.ลำปาง และนายอดุลย์ วันไชยธนวงศ์ อดีต ส.ว.แม่ฮ่องสอน ได้เข้ายื่นหนังสือต่อนายสุชน ชาลีเครือ รักษาการประธานวุฒิสภา ในฐานะรักษาการประธานรัฐสภา เพื่อขอให้ยับยั้งการส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญของ 35 อดีต ส.ว. เพื่อวินิจฉัยให้ กกต.พ้นจากตำแหน่ง ด้วยเหตุขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ โดยผ่านนายพิฑูร พุ่มหิรัญ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ที่มารับหนังสือแทน โดยนายประเกียรติกล่าวว่า การที่อดีต ส.ว.ทั้ง 35 คน เข้าชื่อยื่นคำร้อง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 142 ให้วินิจฉัยคุณสมบัติของ กกต.ที่เหลือ 3 คน ว่าขาดความซื่อสัตย์สุจริต ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 136 หรือไม่


พวกตนทั้ง 3 คนเห็นว่า ไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ เพราะอดีต ส.ว.ทั้ง 35 คนได้หมดวาระตั้งแต่วันที่ 21 มี.ค.ที่ผ่านมา เท่ากับว่าได้กลายเป็นอดีต ส.ว.แล้ว แต่ที่ยังปฏิบัติหน้าที่ก็เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 168

35 อดีต ส.ว.ไม่มีสิทธิ์ยื่นปลด กกต.



สิ่งที่อดีต ส.ว.ในขณะรักษาการกระทำได้มีเพียง 3 อย่าง คือ 1. หน้าที่ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 19 21 22 23 และ 223 ข้อ 2. การทำหน้าที่เลือก แต่งตั้ง ให้คำแนะนำหรือให้ความเห็นชอบ ให้บุคคลดำรงตำแหน่ง ตามมาตรา 138 143 196 199 257 261 274 (3) 277 278 279 (3) 297 302 และ 312 ข้อ 3. ทำหน้าที่พิจารณาและมีมติให้ถอดถอนบุคลออกจากตำแหน่ง รัฐธรรมนูญไม่ได้ให้อำนาจหน้าที่วุฒิสภารักษาการนอกจาก รัฐธรรมนูญมาตรา 168 ดังนั้น การเข้าชื่อเพื่อร้องขอตามมาตรา 142 จึงไม่สามารถดำเนินการได้ การยื่นหนังสือของอดีต 35 ส.ว. เป็นเพียงการขอใช้สิทธิ์ของประชาชนโดยทั่วไปเท่านั้น


โดยอดีต ส.ว.ไม่มีหน้าที่ไปรวบรวมรายชื่อเพื่อทำการถอดถอน แต่จะกระทำได้ก็ต่อเมื่อมีประชาชน 5 หมื่นรายชื่อ เข้าร้องต่อวุฒิสภาเพื่อถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่งทางการเมือง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 303 เท่านั้น นายประเกียรติกล่าว

อ้างได้รับโปรดเกล้าฯเป็นการันตี

นายประเกียรติกล่าวว่า การวินิจฉัยเรื่องความเป็นกลางของ กกต. เป็นพฤติกรรมของบุคคลที่จะต้องมีข้อพิสูจน์ ไม่เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติของ กกต. จึงถือว่าเป็นคนละเรื่องกัน ดังนั้น หากยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเรื่องความไม่เป็นกลาง จะต้องมีการพิสูจน์ให้ได้ว่า กกต.ไม่มีความเป็นกลางอย่างไร เพราะเมื่อบุคคลที่ได้รับการสรรหาเป็น กกต. จนได้รับการโปรดเกล้าแต่งตั้งให้เป็น กกต.แล้ว ต้องแสดงว่าบุคคลนั้นเป็นผู้มีความเป็นกลางทางการเมือง มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ หากปรากฏภายหลังผู้นั้นไม่เป็นบุคคลตามมาตรา 136 ก็ต้องดำเนินการตามกระบวนการถอดถอนออกจากตำแหน่ง ไม่ใช่ดำเนินการตามมาตรา 142


หากประธานรัฐสภาส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญ ก็จะเป็นปัญหากระทบต่อสถาบัน จึงขอให้ประธานรัฐสภาพิจารณายับยั้ง และส่งคำร้องดังกล่าวไปยังศาลรัฐธรรมนูญด้วย

สรุปต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย


ศาลไม่มีบทบาทที่จะมาชี้นำตั้งธง

ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่ออกมาเคลื่อนไหวเช่นนี้จะเหมือนกับต้องการปกป้อง กกต. นายประเกียรติตอบว่า ไม่ได้เป็นการปกป้อง กกต. แต่เป็นการปกป้องประชาธิปไตย ที่ไม่ใช่ว่าองค์กรใดไม่พอใจองค์กรใดออกมากดดันเช่นนี้ ถ้ามันเป็นแบบนี้ประชาธิปไตยจะอยู่ได้อย่างไร ในทางกลับกันปัญหาในเรื่องของความเป็นกลางมาจากการสรรหาของ ส.ว.ต่างหาก ต้องยอมรับว่าในการเลือกตั้งมีผู้แพ้มากกว่าผู้ชนะ ดังนั้น กกต.จึงต้องเผชิญกับความกดดันแบบนี้ตลอด เมื่อถามว่าที่ผ่านประธาน 3 ศาลได้ออกมาเรียกร้องให้ กกต.เสียสละด้วยการลาออก แต่ กกต.ไม่ลาออก ดังนั้น การยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความน่าจะเป็นทางออกที่เหมาะสม


นายประเกียรติตอบว่า ศาลไม่มีบทบาทที่จะมาชี้นำตั้งธงไว้ก่อน ศาลมีหน้าที่เพียงการพิจารณาพิพากษาตามข้อเท็จจริงที่อยู่ต่อหน้า และในมือของผู้พิพากษา ไม่ใช่ไปคว้าอะไรที่อยู่ข้างถนนขึ้นมาทำ ถ้าตั้งธงแล้วมาเผยธงไว้ก่อน สังคมจะอยู่กันอย่างไร


ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า หลังจากที่นายสุชนได้ตั้งคณะทำงาน เพื่อพิจารณาคำร้องของอดีต ส.ว. 35 คน ที่ขอให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย กกต.ทั้ง 3 คน พ้นจากหน้าที่เนื่องจากขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 136 ที่มีนายพิทูร พุ่มหิรัญ เลขาธิการสภาผู้แทน ราษฎร ในฐานะเลขาธิการรัฐสภา เป็นประธานคณะทำงาน ร่วมกับสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภานั้น ปรากฏว่าคณะทำงานชุดดังกล่าวได้พิจารณาเสร็จเรียบร้อย และส่งให้ นายสุชนเพื่อดำเนินการต่อไปแล้ว โดยคณะทำงานได้เสนอความเห็นว่า จะต้องส่งเรื่องนี้ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เพราะประธานวุฒิสภาไม่สามารถวินิจฉัยเองได้ และจะต้องทำให้เป็นบรรทัดฐานต่อไป


เนื่องจากเป็นเรื่องของข้อกฎหมายตามรัฐธรรมนูญ โดยคาดว่านายสุชนจะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาได้ภายในวันที่ 6 มิ.ย. นี้ สำหรับหนังสือที่นายประเกียรติและพวกยื่นคัดค้านนั้น คณะทำงานเสนอให้แนบไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไปพร้อมกันด้วย

โดย นายพิทูรกล่าวว่า คณะทำงานได้พิจารณาคำร้องของอดีต 35 ส.ว. นำโดย พ.อ.สมคิด ศรีสังคม อดีต ส.ว.อุดรธานี เสร็จและเตรียมส่งให้นายสุชนดำเนินการต่อไปแล้ว

ศาลเตือน เทพเทือก เรื่องให้ข่าว


สุชน เข็ดขยาดเลิกใช้ที่ปรึกษา

ด้านนายสุชนได้ปฏิเสธที่จะตอบคำถาม เรื่องการส่งคำร้องของอดีต ส.ว. 35 คน ที่ขอให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเรื่องสถานะ กกต. โดยกล่าวเพียงว่า ยังไม่ทราบรายละเอียดจากนายพิทูร แต่จะแถลงข่าวให้ทราบเวลา 10.30 น. วันที่ 6 มิ.ย.นี้ นอกจากนั้น ยังกล่าวถึงการสรรหา กกต. 2 คน แทนนายจรัล บูรณพันธ์ศรี และ พล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ ภายหลังจากที่นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ประธานศาลฎีกา ทำหนังสือแจ้งว่า ที่ประชุมศาลฎีกาจะไม่สรรหา กกต.เพิ่มเติม ตามมาตรา 138 (2) ของรัฐธรรมนูญว่า ต้องรอนายพิทูรแจ้งมาก่อน ผู้สื่อข่าวถามว่า ดูเหมือนที่ปรึกษาของประธานวุฒิสภายังเสนอให้เดินหน้าสรรหา กกต.เพิ่ม


นายสุชนตอบว่า ไม่ ผมไม่ใช้เขาแล้ว รอเลขาธิการสภาฯ เมื่อถามย้ำว่าต่อไปความเห็นของที่ปรึกษาด้านกฎหมาย ไม่ใช่ความเห็นของประธานวุฒิสภาอีกต่อไปใช่หรือไม่ นายสุชนพยักหน้าก่อนตอบว่า ไม่ใช้แล้ว เมื่อถามว่าให้เวลาเลขาธิการสภาฯเท่าไหร่ นายสุชนตอบว่า รอหลังงานพระราชพิธี



วันเดียวกัน ที่ห้องพิจารณาคดี 805 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นายปุณณะ จงนิมิตสถาพร รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา พร้อมองค์คณะ ได้ออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ครั้งที่สอง คดีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายปริญญา นาคฉัตรีย์ นายวีระชัย แนวบุญเนียร และ พล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ กกต. เป็นจำเลยในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา จากกรณีที่ กกต.ไม่ดำเนินการสืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริงเพื่อวินิจฉัยชี้ขาดให้ครบถ้วน


ในเรื่องร้องเรียนกล่าวหาพรรคไทยรักไทยว่าจ้างพรรคพัฒนาชาติไทยและพรรคแผ่นดินไทย รวมทั้งพรรคการเมืองขนาดเล็ก ให้จัดผู้สมัครลงรับเลือกตั้งแข่งขันกับพรรคไทยรักไทย เพื่อหลีกเลี่ยงการได้เสียงไม่ถึงร้อยละ 20 ก่อนการสืบพยานจะเริ่มขึ้น ศาลได้ตักเตือนนายสุเทพเรื่องการให้สัมภาษณ์ เกี่ยวกับคดี เพราะเกรงว่าอาจเป็นการสร้างกระแสได้ จึงขอให้นายสุเทพระมัดระวังการให้สัมภาษณ์ เนื่องจากคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณา

สุวโรช ยื่นฟ้องคดีอาญา 3 กกต.


ศาลนัดฟังคำสั่งคดีวันที่ 8 มิ.ย.นี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะเดียวกันศาลสั่งห้ามไม่ให้มีการจดบันทึก เพื่อนำคำเบิกความไปเผยแพร่ เนื่องจากการไต่สวนมูลฟ้องครั้งแรก มีการเสนอข่าวไม่ตรงกับรายละเอียดที่ศาลบันทึก โดยมีการระบุว่าหากศาลมีคำสั่งประทับรับฟ้องคดีนี้ จะเป็นการชี้ให้เห็นว่าการที่พรรคใหญ่จ้างพรรคเล็กลงสมัครรับเลือกตั้งมีมูล ทั้งที่การพิจารณาคดีของศาลเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่มิชอบของ กกต. ดังนั้นเพื่อป้องกันความเข้าใจผิดของประชาชนบุคคลภายนอกที่ไม่ได้ร่วมฟังการพิจารณา และเพื่อให้เกิดความเที่ยงธรรมในการพิจารณาคดี ศาลจึงสั่งห้ามบุคคลภายนอกที่ร่วมรับฟังการพิจารณานำพยานหลักฐาน ทำการจดบันทึกหรือบันทึกเทปคำเบิกความของพยานออกไปเผยแพร่อีก


จากนั้นฝ่ายโจทก์ได้นำนายวงศ์พันธ์ ณ ตะกั่วทุ่ง รักษาการ ส.ว.พังงา ขึ้นเบิกความเป็นพยานโจทก์ปากสุดท้าย เกี่ยวกับการหมิ่นประมาทของ พล.ต.อ.วาสนา ที่ให้สัมภาษณ์ว่าพาดพิงถึงฝ่ายโจทก์ หลังฝ่ายโจทก์เบิกความเสร็จสิ้น ศาลจึงนัดฟังคำสั่งคดีในวันที่ 8 มิ.ย.นี้ เวลา 11.00 น.



ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ นายสุวโรช พะลัง อดีต ส.ส.ชุมพร กรรมการพรรคประชาธิปัตย์ ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.อ.วาสนา นายปริญญาและนายวีระชัย เป็นจำเลยในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง มาตรา 24 และหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา โดยคำฟ้องบรรยายความผิดว่า เมื่อวันที่ 29 พ.ค. 2549 จำเลยทั้งสาม ได้กระทำความผิดด้วยการออกมติ ไม่รับรองผลการเลือกตั้งนายฉัตรชัย พะลัง น้องชายของนายสุวโรช ที่มีคะแนนเลือกตั้ง ส.ว.ชุมพร เหนือกว่า พล.อ.ไพโรจน์ นาคฉัตรีย์ น้องชายของนายปริญญา อีกทั้งจำเลยทั้งสามยังได้ร่วมกันแจ้งข้อหานายฉัตรชัยรวม 6 ข้อหา


โดยมี ข้อหา 2 ข้อหาที่เกี่ยวข้องกับตัวโจทก์ด้วยว่า ได้กระทำความผิดกฎหมายเลือกตั้ง มาตรา 44 โดยกล่าวหาว่า ก่อนการเลือกตั้ง ส.ว. จะมีขึ้น นายสุวโรชและนายฉัตรชัยได้ร่วมกันปราศรัยพาดพิงนายปริญญา ไปในทางเสียหาย ทั้งที่ตามระเบียบแล้วก่อนที่ กกต.จะแจ้งข้อกล่าวหา จะต้องไปชี้แจงเสียก่อน แต่กรณีนี้กลับไม่มีการเรียกไปชี้แจง ถือว่าเลือกปฏิบัติ ไม่เป็นธรรมและไม่เป็นกลาง ศาลรับคำฟ้องไว้พิจารณาไต่สวนมูลฟ้อง ในวันที่ 31 ก.ค. เวลา 13.30 น.

สุรนันทน์ ปรามลูกพรรคอย่าปากดี



นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย กล่าวถึงกรณีสมาชิกพรรคออกมาวิพากษ์วิจารณ์ การทำงานของศาลว่า เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. ตนและนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เลขาธิการพรรค รวมถึงทีมโฆษกและฝ่ายการเมืองของพรรค ได้หารือกันถึงสถานการณ์การเมือง ได้ข้อสรุปว่า หลังจากนี้พรรคจะกำชับทีมโฆษกและฝ่ายกฎหมายให้ระมัดระวังคำพูด ถ้าพูดในนามพรรค จะต้องเป็นในทิศทางเดียวกัน คือเคารพระบอบประชาธิปไตย ความคิดเห็นของทุกฝ่าย ข้อกฎหมาย กฎกติกา กกต. ไม่ว่าชุดปัจจุบันหรือชุดใหม่ ส่วนคำตัดสินของศาลนั้น พรรคไม่มีข้อกังขาใดๆ เพราะอยากให้การเลือกตั้งเร็วขึ้น


เรื่องดังกล่าวได้ชี้แจงให้ฝ่ายกฎหมายของพรรครับทราบแล้ว พร้อมย้ำว่า ต่อไปหากจะแสดงความเห็น ต้องทำในนามส่วนตัว ไม่ใช่ในนามพรรค ทุกคนก็เข้าใจ เมื่อถามว่า จะเรียกสมาชิกพรรคที่วิพากษ์วิจารณ์ศาลมาตักเตือนหรือไม่ เพื่อให้จุดยืนของพรรคเป็นไปในทิศทางเดียวกัน นายสุรนันทน์ตอบว่า ตอนนี้ยังถือว่าอยู่ในขอบเขต ทั้งนี้ พรรคเชื่อว่าคำตัดสินจะเป็นธรรม มั่นใจว่าตัวผู้พิพากษาจะมีวิจารณญาณเพียงพอ เพราะหากตัดสินไม่ถูกต้องเป็นธรรม จะถูกประชาชนตรวจสอบเอง




แหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์