ไม่มีใครในสายตาแล้วหรือ?/ เปลวสีเงิน

"ไม่มีใครในสายตา"แล้วหรือ?/ เปลวสีเงิน

คนปลายซอย
15 พฤษภาคม 2549 กองบรรณาธิการ

"แล้วจะเอายังไงกันต่อ"?


ชาวบ้านถามกันอย่างนี้ เมื่อมติที่ประชุม ๓ ประธานศาล วาง ๒ แนวทางแก้ปัญหาวิกฤติบ้านเมืองให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.ทั้ง ๔ เลือกเอาทางใด-ทางหนึ่ง เมื่อ ๙ พฤษภา. คือ

๑.แนวทางรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๔๕ (๒) ให้ กกต.ขอความช่วยเหลือไปยังศาล เพื่อศาลจะได้ขออนุมัติจาก กต.(คณะกรรมการข้าราชการตุลาการศาลยุติธรรม) ส่งผู้พิพากษาไปช่วย "ดำเนินการจัดการเลือกตั้ง"


แนวทางนี้ เลขานุการศาลฎีกาบอกว่า จะมีปัญหาที่ทำให้แนวทางนี้เกิดขึ้นไม่ได้ ๒ ทาง คือ

กกต.อาจยอมให้ศาลเข้าไปร่วมในขอบเขตจำกัด เช่นแค่ให้ทำหน้าที่แจกใบเหลือง-ใบแดง เป็นต้น แต่จะไม่ยอมให้ศาล "ดำเนินการจัดการเลือกตั้ง" ตามเป้าหมายหลัก และอีกทางหนึ่ง ทางศาลเองก็มีข้อต้องใคร่ครวญอยู่ว่า กกต.ชุดปัจจุบัน ภาพลักษณ์ไม่ดี และไม่เป็นที่เชื่อถือของประชาชน ถ้าศาลเข้าไปร่วมก็อาจถูกมองว่า ตกเป็นเครื่องมือ กกต.

สรุปก็คือ แนวทางนี้ "เลิกคิด" ไปได้ เพราะตอนนี้ก็ปรากฏชัดเจนแล้วว่าทาง กกต.ไม่ยอมให้ศาลเข้าไปในฐานะ "ผู้จัดการเลือกตั้ง"

ถ้าจะมา ก็จะให้มาทำงานในฐานะ ลูกมือ กกต.เท่านั้น!

ซึ่งทางศาลก็ไม่ประสงค์ทั้งด้านเข้ามาเป็นลูกมือ กกต. และทั้งด้านจะเข้าไปจัดการเลือกตั้งโดยมี กกต.ชุดปัจจุบันร่วมอยู่ด้วย

เป็นอันว่า "ตัดทิ้งไป" ในแนวทางนี้ ก็มาดูในแนวทางที่สอง

๒.แนวทางรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๓๘ (๓) ที่เปิดโอกาสให้ที่ประชุมใหญ่คัดเลือกผู้สมัครเป็น กกต.๕ คน แทนคณะกรรมการสรรหา กกต. มาตรา ๑๓๘ (๑) ซึ่งไม่สามารถจัดตั้งได้เข้าไปสมทบกับผู้ที่ได้รับการคัดเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาตามมาตรา ๑๓๘ (๒) อีก ๕ คน

รวมเป็น ๑๐ คน แล้วส่งให้วุฒิสภาคัดเลือก เป็น กกต.ชุดใหม่ ๕ คน ซึ่งตามขั้นตอนต่างๆ ใช้เวลาทั้งหมดอยู่ในระหว่าง ๓๐ วัน และไม่เกิน ๔๕ วัน

ก็ดูเหมาะสมดี เพราะทุกขั้นตอนเป็นไปตามกระบวนการรัฐธรรมนูญ แต่มันติดอยู่นิดเดียวตรงที่ว่า การดำเนินการตามมาตรานี้จะเกิดขึ้นได้ และสำเร็จได้

๔ กกต.ต้องลาออก!


เพื่อเปิดโอกาสให้ศาลฎีกาสรรหา กกต.ชุดใหม่ ตามมาตรา ๑๓๘ ดังกล่าว

แต่ ณ ขณะนี้ จากท่าทีดูเหมือนว่า ๔ กกต.โดยเฉพาะท่านประธานคือ พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ท่านพร้อมจะแจกหนังสืองานศพท่าน

แต่ไม่พร้อมจะยกคณะลาออก!?


ปัญหาที่เป็นคำถามชาวบ้านตอนนี้ที่ว่า "แล้วจะเอายังไงกันต่อ"? มันก็ติดอยู่ตรงนี้แหละ

ตรงที่ ๔ กกต.ท่านไม่สนเพื่อสนองแนวทาง ตามกระแสพระราชดำรัส ทั้งไม่สนการชี้แนวทางสวรรค์จากที่ประชุมประมุข ๓ ศาล ท่านคงเปิดรัฐธรรมนูญดูๆ ก็เลยฮึดขึ้นว่า

"ถ้าไม่ลาออกซะอย่าง แล้วหน้าไหนมีอำนาจมาปลด"?


ก็อย่างที่เราคุยกันมาเรื่อยๆ นั่นแหละ กฎหมายนั้นก็แค่ตัวหนังสือ ถ้ายึดแต่ตัวหนังสืออย่างเดียวอันเป็นแค่วัตถุ โดยไม่ยึดจริยธรรม คุณธรรม ศีลธรรม อันเป็นด้านจิตใจควบคู่ไปด้วย กฎหมายนั้นอาจเป็นโทษมากกว่าเป็นคุณ

ตัวบุคคล อาจมีได้-มีเสีย จากการใช้กฎหมายที่ไร้จริยธรรมกำกับจิต

แต่ประเทศชาติ สังคม คือประชาชน แม้กระทั่งตัวเองที่คิดว่า "ได้" แต่แรก เอาเข้าจริง..

มีแต่ "เสีย" ประการเดียว!

ฉะนั้น เมื่อ กกต.ทำเหมือน "ท้าทาย" ไม่สนหน้าอินทร์-หน้าพรหมไหนทั้งสิ้น ถือดีในอำนาจที่ตัวเองครองอำนาจอยู่ โดยไม่ละอายต่อความรู้สึก ผิด-ชอบ-ชั่ว-ดี เดินหน้าตามกระบวนการ จัดการเลือกตั้งเอง เรียกทั้งเลขาฯ ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกา และตัวแทนพรรคการเมืองต่างๆ มาร่วมประชุมกับ กกต.วันนี้ (๑๕ พ.ค.) เพื่อกำหนดวันเลือกตั้ง

ถ้าเป็นยุคก่อนก็ต้องเรียกว่า

กกต.แข็งเมือง!


ชาวบ้านจึงเพ่งเล็ง และวิพากษ์วิจารณ์กันว่า ๔ กกต.ถูกอะไรเข้าสิง ๔ กกต.เป็นอะไรไปเสียแล้ว?

เพราะทำเหมือนไม่สนองกระแสพระราชดำรัส ทำเหมือนท้าทายมติประมุข ๓ ศาล ทำเหมือนตอบจิตใต้สำนึกตัวเองไม่ได้ว่า เมื่อเข้ามาเป็น กกต.นั้น มีเงื่อนไขหนึ่งเป็นตัวบ่งคุณสมบัติไว้ว่าอย่างไร?

เงื่อนไขที่กำกับคุณสมบัติอันระบุบ่งไว้ชัดเจนก็ที่ว่า กกต.มีหน้าที่ควบคุมและดำเนินการจัด หรือจัดให้มีการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิก.....โดย สุจริต และเที่ยงธรรม


และในกรอบเงื่อนไขของการคัดสรรคนมาเป็น กกต.ก็ระบุไว้ชัดเจนว่า คัดสรรจากผู้มีความเป็นกลางทางการเมือง และมีความซื่อสัตย์ สุจริต เป็นที่ประจักษ์...

แต่ทุกวันนี้ ขณะนี้ สังคมลงความเห็นจากพฤติกรรมของท่านแล้วว่า จัดให้มีการเลือกตั้งที่ผ่านมา ๒ เมษายน ๒๕๔๙ ไม่สุจริต และไม่เที่ยงธรรม

และมีความเห็นในตัวท่านทั้ง ๔ ว่า เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า..ไม่มีความเป็นกลางทางการเมือง!


พลิกดูความเป็นมาของคนทั้ง ๔ คร่าวๆ ก็พบว่า พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ผู้เป็นประธาน กกต.นั้น ท่านมาจากตำรวจเช่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยเป็นมือกฎหมายประจำกรมมาก่อน

นายปริญญา นาคฉัตรีย์
เป็นข้าราชการมหาดไทย จำได้ว่าสมัยเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี หรือปทุมธานี นี่แหละ รูปท่าน ชื่อท่าน เป็นตัวรับประกันในโฆษณาขายคอนโดฯ และที่ดินจัดสรร "เมืองทองธานี" จนมีคนหลงเชื่อไปแย่งจับจอง

ลงท้าย ต้องฟ้องเรียกเงินคืนกันอุตลุด!


นายวีระชัย แนวบุญเนียร
ก็มาจากตำแหน่งผู้ว่าฯ แถวๆ อีสาน สมัยยังดำรงตำแหน่ง ดูแลการเลือกตั้งครั้งหนึ่งในจังหวัด ปรากฏว่าชาวบ้านประท้วงการนับคะแนนถึงขั้นเผาอำเภอกันเลยทีเดียว

ส่วนพลเอกจารุภัทร เรืองสุวรรณ ผมไม่คุ้นชื่อท่านมาก่อน แต่ในฐานะนักข่าวพอเห็นนามสกุลก็นึกถึง "ท่านจารุบุตร เรืองสุวรรณ" นักการเมืองเก่าผู้ล่วงลับไปแล้ว

ฉะนั้น เมื่อเห็นหน้าท่านตอนมาสมัครเป็น กกต.ก็เลยเกิดความรู้สึกคุ้นๆ และเมื่อดูเค้าโครงหน้า ดูใบหูที่รับกับรูปจมูกก็เกิดความรู้สึกสนิทใจว่า ท่านน่าจะซื่อสัตย์-สุจริตอยู่

สรุปความว่า ทั้ง ๔ กกต.ล้วนเป็นข้าในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผ่านตำแหน่งสำคัญทางราชการมาแล้วทั้งสิ้น

อาจจะได้กล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณเฉพาะพระพักตร์กันมาแล้วด้วยซ้ำ!


แต่เพราะเหตุใด หรือเพราะใคร มีน้ำหนักกว่า มีความหมายกว่า สำคัญกว่าที่ กกต.ทั้ง ๔ พร้อมเชื่อฟัง พร้อมปฏิบัติตามมากกว่า

ในขณะที่ไม่พร้อมที่จะสนองกระแสพระราชดำรัส และไม่พร้อมเลือกแนวทางตามที่ประมุข ๓ ศาลเสนอ!?

หรือ ไม่มีใครเป็นน้ำหนักให้หักเห แต่กำลังอยู่ระหว่างการใคร่ครวญ และเลือกจังหวะปฏิบัติ?

ผมเคยคุยกับท่านผู้อ่านแล้วว่า โลกขณะนี้อยู่ภายใต้รัศมีดาวพลูโต ให้ระวังการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ชนิดที่คาดคิดไม่ถึง มันเป็นการเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ และมันมาพร้อมกับการทำลายล้าง

ก่อนที่ทุกอย่าง "จะดี" และผุดขึ้นมาจากกองปรักหักพัง ควันไฟ และกลิ่นอายแห่งความตายจากการทำลายล้างซึ่งกันและกัน

นี่คือภาพรวมของโลก ไม่เกี่ยวกับเลือกตั้งบ้านเรานะครับ แต่ที่เกี่ยวคือผมจะบอกว่า ในขณะที่ กกต.โดยเฉพาะท่านวาสนาปฏิบัติการท้าทายดังปรากฏ ก็ปรากฏว่าผู้ที่เวียนมามอบช่อดอกไม้ให้กำลังใจ ๒ ครั้ง ๓ ครานั้น ไม่ใช่ใครที่ไหน

เป็นสาวกผู้เลื่อมใสในลัทธิ "ระบอบทักษิณ" โดยตรง!


และขณะนี้ มีการเชื่อมโยงให้ "คาราวานคนจน" อันเป็นขบวนการ "สาวกระบอบทักษิณ" ที่เคยมารวมพลอยู่สวนจตุจักร เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อมาเป็นกองหนุนให้ กกต.สู้..สู้..!

นั่นก็ไม่สำคัญเท่า ขณะนี้กรมประชาสัมพันธ์มีการให้ตั้ง "สถานีวิทยุชุมชน" ในนามคนแท็กซี่-สามล้อ นอกจากทำหน้าที่เป็นองครักษ์พิทักษ์ทักษิณ และไทยรักไทยแล้ว

ที่กรมประชาสัมพันธ์น่าจะใส่ใจ ไม่ควรปล่อยจนคล้ายส่งเสริมให้เหิมเกริมหนักขึ้นทุกวัน ก็คือ

ทั้งผู้จัดรายการ และทั้งการเปิดสายให้ผู้ฟังโทรศัพท์เข้าไปแสดงความคิดเห็น จะเชิดชู-พิทักษ์ทักษิณผมไม่ว่า ปกป้อง-ยกย่อง กกต.ผมก็ไม่ว่า

พูดกันจนเป็นที่รู้เปิดเผยว่า กกต.กับทักษิณ "แนบแน่น" สนิทเนื้อกันโล่งโจ้งขนาดไหน ผมก็ไม่ว่า

แต่การที่บังอาจ เหิมเกริม จ้วงจาบ หยาบช้า ตั้งแต่ระดับ "ศาล" ขึ้นไปนี่ซีครับ!

มันเลยจุดพอดีของสังคม!


ทักษิณ-ไทยรักไทย ก็ใช่ว่าจะได้ ส่วน กกต.มีแต่เสียกับเสีย และลงท้าย สังคมไทยอาจแตกเป็น ๒ ฝัก ๒ ฝ่าย ชนิดไม่มีจุดยึดเหนี่ยว

ผมรู้ว่าเรื่องเช่นนี้ ถ้าคนในรัฐบาลไม่ชักใย มันเกิดขึ้นไม่ได้แน่นอน แต่ไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าใครจะตั้งสถานีวิทยุชุมชนมาเชียร์ใคร-ด่าใคร แต่มันแปลกและน่าห่วงใย ที่ปล่อยให้พูดจา-กระจายเสียงด้วย "สำเนียงเหิมเกริม" ถึงสถาบัน อันไม่เคยปรากฏมาก่อนในสังคมไทย-ฝากให้แก้ไขด่วน.

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์