กว่าจะปิดโผ หมัก1ทุลักทุเล

เส้นทางของโผครม. "สมัคร 1" กว่าจะลงตัว เต็มไปด้วยความวกวนทุลักทุเล ต้องแวะตรงนั้นผ่านตรงนี้วุ่นวายไปหมด

ทั้งด้วยความเป็นรัฐบาลผสม 6 พรรค

และด้วยสถานการณ์ที่ผู้มีอำนาจตัวจริงในพรรค ไม่ได้อยู่ในประเทศ และไม่แสดงออกอย่างเปิดเผยได้

ก่อนจะได้รายชื่อรัฐมนตรี 35 คน จำนวนหนึ่ง เป็นคนหน้าเก่า อีกจำนวนหนึ่งเป็นมือใหม่

ทำให้เป็นปัญหาในการตรวจสอบคุณสมบัติ เพราะเดิมรัฐมนตรีจะเป็นคนหน้าเดิมๆ รู้ที่มาที่ไป มีประวัติกันอยู่แล้ว

แต่คราวนี้ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่กันหลายคน ทำให้การทูลเกล้าฯ รายชื่อต้องล่าช้าออกไป

โดยภาพรวม รัฐบาลนี้ คงหนีไม่พ้นภาพของรัฐบาล "ตัวแทน" หรือ "นอมินี" นั่นเอง

ไม่ได้เป็นความลับเลยว่า การจัดโผในคราวนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าตัวจริง นั่งบัญชาการอยู่ที่ฮ่องกง

อย่างที่นายวราวุธ ศิลปอาชา ลูกชายนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ที่ไปพบพ.ต.ท.ทักษิณที่ฮ่องกง กลับมาเล่าให้นักข่าวฟังว่า โผล่เข้าไปตกใจ นึกว่าที่ไหน เพราะส.ส.พลังประชาชนเดินกันขวักไขว่

เยอะกว่าที่บ้านหัวหน้าพรรคเสียอีก

ส่วนส.ส.ประชาธิปัตย์ เยาะเย้ยว่า ครม.ชุดนี้ ที่แท้ "เมดอินฮ่องกง"

ส่วนในประเทศนั้น ก็มีคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ที่ยอมเดินทางกลับเข้าประเทศมาขึ้นศาลคดีที่ดินรัชดาฯ มาดูแลเรื่องจัดทำโผอยู่

และถือเป็น "ขั้นตอน" หนึ่ง ในการสรุปโผ



เริ่มจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นายสมัคร สุนทรเวช ประกาศตัวเป็น "นอมินี" ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และยังประกาศในพรรคว่าเข้ามาเพื่อ "ภารกิจเดียว" จากนั้น "พร้อมจะถอย"

ตำแหน่งใหญ่ๆ หลายตำแหน่งก็ฟังเข้าที แต่ดูดีๆ ก็จะมีลักษณะเป็นนอมินีอีกเหมือนกัน

เริ่มจากกระทรวงกลาโหม ที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีเข้ามาคุมเอง

เดินตามสูตรของประชาธิปัตย์ในยุคหนึ่ง ซึ่งมีปัญหากับทหาร ไม่อยากเพิ่มปัญหาด้วยตัวบุคคลที่อาจไม่ได้รับการยอมรับ ก็เลยเอานายกฯ ลงไปเอง

การเข้ามานั่งตำแหน่งรมว.กลาโหมของนายสมัคร ในแง่หนึ่ง สื่อความได้ถึงแนวคิดของพ.ต.ท.ทักษิณ ที่จะไม่หักหาญเอา "นายพล" ในค่ายเข้ามานั่ง

เหมือนอย่างรัฐบาลพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เคยทำ และพังมาแล้ว

ขุนคลังอันเป็นแม่ทัพใหญ่ที่จะต่อสู้เพื่อปากท้องของประชาชน เป็นหน้าที่ของน.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคพลังประชาชน โดดลงมารับเล่นเอง ควบกับตำแหน่งรองนายกฯ

หมอเลี้ยบหรือน.พ.สุรพงษ์ ถือเป็นนักการเมืองน้ำดี มี "ต้นทุน"มากกว่าคนอื่นๆ ด้วยความเป็นปัญญาชน และท่าทีอ่อนน้อมใจเย็น พร้อมจะอธิบายปัญหาด้วยความสุขุมรอบคอบและสุภาพเรียบร้อย

แต่ในแง่ความเชื่อมั่น ก็ยังมีข้อสงสัยว่า งานหนักระดับกอบกู้เศรษฐกิจของชาติที่ทรุดมาปีกว่า สถานการณ์ภายนอกรุกเร้า ขนาดที่มหาอำนาจอย่างอเมริกายังปั่นป่วน

น.พ.สุรพงษ์ จะรับภาระนี้ไหวหรือไม่ หรือว่าจะมีทีมงาน หรือ "คนข้างนอก" ร่วมด้วยช่วยกันอยู่

อีกหนึ่งในทีมเศรษฐกิจ คือ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ อดีตผอ.อสมท ผู้เด่นดังมาจากโมเดิร์นไนน์ ทีวี มานั่งรองนายกฯ และรมว.พาณิชย์

ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ ด้วยผลงานจากการบริหารภาคเอกชนที่โตโยต้า และกึ่งรัฐกึ่งเอกชนอย่างช่อง 9

แต่ก็ยังตัดภาพของความเป็น "สายตรง" ของคนที่ฮ่องกงไม่ขาดอยู่ดี

ที่น่าเป็นห่วงก็คือ ระหว่างหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ คือน.พ.สุรพงษ์ กับนายมิ่งขวัญที่ว่ากันว่า "เกาเหลา" กันอยู่นั้น จะเพิ่มรสชาติจัดจ้านขึ้นเพียงใดหรือไม่ ในอนาคต

ตำแหน่งที่ลือลั่นกันไปทั่วเมือง ยังได้แก่ตำแหน่งรมว.คมนาคม เก้าอี้ระดับซูเปอร์เฮฟวี่เวต ที่เต็มไปด้วยความนุงนังต่อเนื่องจากยุคไทยรักไทยมาถึงคมช. ที่มีชื่อของนายสันติ พร้อมพัฒน์ ที่ถือว่า "โนเนม" ในระดับประเทศ จับจองมาตั้งแต่ไก่โห่

นายสันติเป็นเด็กปั้นของเสี่ยเพ้ง นายพงษ์ศักดิ์ และมีพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นแบ๊กอีกทางหนึ่ง

กลางๆ สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากโผเสร็จไประดับหนึ่ง และมีการส่งต่อไปให้นายสมัคร

ปรากฏว่านายสมัครเสนอให้สลับเอานายมิ่งขวัญมานั่งแทน ส่วนนายสันติไปพาณิชย์

ทำให้เกิดเสียงฮือฮาไปทั่วว่า นอมินีเริ่มมีฤทธิ์ ไม่ยอมสยบให้โผของฮ่องกง

แต่สุดท้าย ก็มีข่าวว่าคุณหญิงพจมาน เป็นผู้เบรกการสลับเก้าอี้ แล้วให้นายสันติกลับมานั่งที่เดิม

การเข้ามานั่งเก้าอี้ใหญ่ที่คมนาคมเที่ยวนี้ ทำให้ฝ่ายค้านอย่างประชาธิปัตย์ลูบปากด้วยความมันเขี้ยว เพราะเล่าลือกันว่า นายสันติมีจุดอ่อนให้ตรวจสอบหลายจุดด้วยกัน



หากเปรียบเทียบกับครม.ของไทยรักไทย 2 สมัยที่ผ่านมาา ครม.ชุดนี้ เป็นทีมบีหรือทีมสำรองเท่านั้นเอง

รัฐมนตรีหลายคน ทั้งว่าการและช่วยว่าการ มาจากการปูนบำเหน็จ ให้รางวัลหลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการศึกสงคราม

ทั้งจากการเคลื่อนไหวต่อต้านคมช. การลงประชามติรัฐธรรมนูญ จากการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปลายเดือนธันวาคม

แต่ถ้าจะให้คะแนนคุณสมบัติ ความสามารถ ประสบการณ์ จะอยู่ในระดับคาบเส้น เจียนอยู่เจียนไป

ข้อได้เปรียบของรัฐบาล คือความชอบธรรม อย่างน้อยที่สุด ก็มากกว่ารัฐบาลจากการรัฐประหาร ส่วนจุดอ่อน คือคุณธรรม และความสามารถในการบริหารและความน่าเชื่อถือ

หนทางเดียวที่จะพลิกสถานการณ์ให้ตัวเองได้ คือต้องทำงานเต็มที่ด้วยความโปร่งใส จะได้มากน้อยยังไม่มีใครรู้

พลาดเมื่อไหร่ สังคมไล่ถล่มทันที นอกเหนือจากฝ่ายค้านที่จ้องรออยู่แล้ว

ขณะที่ความเปราะบางของรัฐบาลนี้ อยู่ที่ความเป็นตัวการ-ตัวแทน หรือนอมินีกับตัวจริง ที่ไม่มีใครรู้ว่าจะขัดแย้งกันแรงๆ หรือแตกหักเมื่อไหร่

เพราะว่าไปแล้ว ต่างฝ่ายไม่ยอมใครง่ายๆ ด้วยกันทั้งคู่

งานใหญ่นอกจากการบริหารประเทศแล้ว ยังมีภารกิจสะสางซักฟอกความผิดให้กับผู้นำตัวจริง

ขบวนทัพขาดๆ เกินๆ อย่างนี้ จะสามารถไปบรรลุ "ภารกิจ" หรือไม่

ได้ลุ้นกันตัวโก่งแน่ๆ

เครดิต :
เครดิต : เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์ข่าวสด


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์