ทักษิณแถลงขู่ รธน.มีสิทธิล่ม

ในขณะที่ทุกฝ่ายกำลังสาละวนอยู่กับการรณรงค์ เชิญชวนประชาชนให้ไปลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ 2550 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ออกแถลงการณ์ข้ามทวีปประกาศว่า ประชาชนคนไทยจะร่วมกันลงประชามติคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อแสดงเจตนารมณ์ต่อต้านคณะรัฐประหาร พร้อมกันนั้นยังยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองและครอบครัว และพร้อมจะเดินทางกลับมาสู้คดีหลังจากการเลือกตั้ง และได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยแล้วเท่านั้น

“ทักษิณ” ออกแถลงการณ์เย้ย คมช.


ที่โรงแรมมิราเคล แกรนด์ คอนเวนชั่น หลักสี่ เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 17 ส.ค. นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวชี้แจงว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้เขียนแถลงการณ์ เพื่อเผยแพร่ให้กับสื่อในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงในประเทศอังกฤษด้วยข้อความว่า ภายในสองสามวันข้างหน้าคณะรัฐประหารในประเทศไทยจะเพิ่มมาตรการดำเนินการต่างๆ เพื่อทำลายชื่อเสียงและเกียรติยศของผม เนื่องจากคณะรัฐประหารหวาดกลัวว่า ความชื่นชอบของพี่น้องประชาชนที่ยังรักและห่วงใย อาจส่งผลต่อการลงประชามติ ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในวันที่ 19 ส.ค.นี้ ที่จัดทำโดยบุคคลที่คณะรัฐประหารแต่งตั้ง


“ผมไม่ได้กระทำสิ่งที่ผิดกฎหมาย และไม่เคยทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง บรรดาข้อกล่าวหาต่างๆ ที่มีต่อผมและครอบครัว ล้วนเป็นการกล่าวหาที่มาจากมูลเหตุ ทางการเมืองทั้งสิ้น คณะรัฐประหารได้ทำการยึดอำนาจรัฐบาลของผม ซึ่งเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย แต่พวกเขาไม่สามารถทำลายความปรารถนาของพี่น้องชาวไทยที่ใฝ่หาการปกครองในระบอบประชาธิปไตยได้ ไม่ว่าจะใช้วิธีการใส่ร้ายป้ายสี” แถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณระบุ

มั่นใจอังกฤษไม่ส่งตัว “ทักษิณ” กลับ


แถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณยังระบุด้วยว่า “อย่างไรก็ตาม ผมพร้อมที่จะต่อสู้ทุกคดีและทุกข้อกล่าวหา เมื่อมีความมั่นใจว่าผมสามารถจะต่อสู้คดีได้ในกระบวนการยุติธรรมที่มีความเป็นธรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ภายใต้การครอบงำและแทรกแซงจากรัฐบาลทหาร ฉะนั้นผมหวังว่าสื่อมวลชนทั้งในและต่างประเทศจะเสนอข่าวเรื่องนี้ด้วยความเป็นธรรม โดยโปรดระลึกเสมอว่า ผมยังไม่ถูกพิพากษาว่าเป็นผู้กระทำผิดในคดีใดๆ ผมยังเป็นผู้บริสุทธิ์”

นายนพดลกล่าวถึงการส่งผู้ร้ายข้ามแดนว่า ไม่ใช่ หน้าที่ของผู้ถูกกล่าวหา เป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องดำเนินการ โดยมั่นใจว่าหากมีการต่อสู้ทางข้อกฎหมายที่ประเทศอังกฤษเราจะได้รับความยุติธรรมและได้รับความคุ้มครอง ถึงแม้จะมีสนธิสัญญาอยู่ แต่ก็มีข้อยกเว้นในเรื่องคดีการเมืองที่ทางศาลอังกฤษจะให้ความคุ้มครอง โดยเฉพาะประเด็นเรื่องของความไม่ปลอดภัย ขณะนี้ทางอัยการทหารได้ส่งหลักฐานคดีคาร์บอมบ์ฟ้องต่อศาลแล้วจึงมั่นใจว่าจะต้องใช้เวลาระยะหนึ่งในการพิจารณา ขอย้ำว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้กระทำผิด ไม่ได้ขลาด จะกลับมาพิสูจน์ข้อเท็จจริงหลังจากมีการเลือกตั้ง หรือเป็นประชาธิปไตยแล้ว

ไม่มีความคิดที่จะขอลี้ภัยทางการเมือง

นายนพดลกล่าวด้วยว่า ในช่วงที่อยู่อังกฤษ ได้ ติดตามการทำงานของทนายทั้งของไทยและอังกฤษ มีความมั่นใจว่า ทีมทนายจะสามารถทำงานปกป้อง พ.ต.ท. ทักษิณได้ โดยระหว่างที่มีหมายจับนี้ พ.ต.ท.ทักษิณก็ยังสามารถเดินทางไปประเทศไหนก็ได้ เพราะไม่มีการห้ามไว้ และขอยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณยังไม่มีความคิดที่จะขอลี้ภัยทางการเมือง สำหรับข้อกล่าวหาฆ่าตัดตอนอันสืบเนื่องจากนโยบายปราบปรามยาเสพติดนั้น ยืนยันว่า อดีตนายกฯไม่เคยกระทำผิด ไม่มีนโยบายไปสั่งฆ่าใคร เราเห็นด้วยที่มีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาสอบสวนการฆ่าตัดตอน ที่จริงควรทำนานแล้ว ยอมรับว่าสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นขณะนี้ ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณไม่สบายใจ เพราะมีความพยายามเชื่อมโยงเอาผิดทั้งกรณีซีทีเอ็กซ์ 9000 เอ็กซิมแบงก์และทุจริตกล้ายาง

ทีมทนายเตรียมฟ้องหมิ่นดีเอสไอ

นายนพดลกล่าวว่า วันเดียวกันนี้ ทีมทนายได้แจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีอาญา ในข้อหาหมิ่นประมาท ต่อนายสุนัย มโนมัยอุดม อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา กรณีฝ่าฝืนประมวลจริยธรรมที่ห้ามพนักงานสอบสวน ให้สัมภาษณ์สื่อในลักษณะชี้นำเจาะจงว่าผู้ต้องหามีความผิด รวมทั้งกรณีการให้สัมภาษณ์เปิดเผยสำนวนการสอบสวนต่อสื่อมวลชน นอกจากนี้ในสัปดาห์หน้าจะยื่นฟ้องแพ่งเรียกค่าเสียหายหลายล้านบาทด้วย ส่วนตัวได้ตั้งข้อสังเกตว่ากรณีนี้ มีการเร่งทำสำนวนกันมากต่างจากคดีของ ปรส. ที่ข้าราชการบางคนตั้งตนเป็นพนักงานสอบสวน เพื่อที่จะเข้าไปดูแลผลประโยชน์ให้กับพวกพ้อง ที่เป็นไปในลักษณะช้าไม่คืบหน้า ขอท้า คตส.ที่กล่าวหาว่า ให้สัมภาษณ์ในลักษณะหมิ่นประมาทให้ฟ้องโดยเร็ว แต่เท่าที่ทราบก็มีสมุนของ คมช.ไปแจ้งความดำเนินคดี ที่ สน.สามเสนไว้แล้ว

“สุรยุทธ์” เมิน “ทักษิณ” ลุ้นประชามติ


ทางด้าน พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญที่จะมีขึ้นในวันที่ 19 ส.ค. ภายหลังจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาให้ความเห็นผ่านที่ปรึกษาด้านกฎหมายว่า ประชาชนจะเลือกฝ่ายของตน และสามารถคว่ำร่างรัฐธรรมนูญได้ว่า ยังไม่มั่นใจ รอประชาชนที่จะใช้วิจารณญาณ ของตนเอง รัฐบาลคงรอการตัดสินใจของประชาชนว่าจะเลือกอย่างไร ไม่ได้รวบรวมข้อมูล และไม่คิดว่าผลจะออก มาในทางใด ข้อคิดมีประการเดียวคือ รอการตัดสินใจของ ประชาชน ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร รัฐบาลก็พร้อมยอมรับ ผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสข่าวสำนักงานสถิติแห่งชาติทำโพลสำรวจความคิดเห็นกลุ่มตัวอย่างของประชาชนกว่า 5 พันคน ระหว่างวันที่ 8-12 ส.ค. พบว่า ประชาชนถึงร้อยละ 80 จะรับร่างรัฐธรรมนูญ เหตุใดรัฐบาลจึงไม่ นำโพลดังกล่าวออกมาเผยแพร่ พล.อ.สุรยุทธ์ตอบว่า เรื่อง การทำโพลรัฐบาลไม่ได้คิดว่าจะเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญ รัฐบาล ใช้เป็นข้อมูล แต่ไม่ได้คิดว่าจะมีความสำคัญมากกว่าผล การตัดสินใจของประชาชนจริงๆ ทั้งนี้ ในวันที่ 19 ส.ค. คงทำหน้าที่เป็นพลเมืองไทยคนหนึ่งที่จะไปลงประชามติประมาณ 11.00 น. จากนั้นจะติดตามผลจากโทรทัศน์เหมือนคนอื่นๆ

ยันหากรัฐธรรมนูญผ่านเลือกตั้งสิ้นปี


เมื่อถามว่า เตรียมการรับมือในวันที่ 19 ส.ค. อย่างไร เพราะฝ่ายค้านออกมาระบุว่า การลงประชามติจะแสดงให้เห็นว่าจะเอา คมช. หรือเอาไทยรักไทย พล.อ.สุรยุทธ์ ตอบว่า คิดว่าประชาชนเข้าใจ ถ้าเราจะไปสู่การเลือกตั้ง ในเบื้องต้นต้องมีรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 19 ส.ค. เป็นวันที่ ประชาชนจะออกมาตัดสินว่าจะรับร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 หรือไม่ ถ้าไม่รับก็ต้องหารัฐธรรมนูญฉบับเก่าเพื่อดำเนินการต่อไป ที่มารับหน้าที่ฝ่ายบริหารก็เพื่อนำประเทศไทยผ่านช่วงวิกฤติ กลับไปสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตย มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยเร็วที่สุด นี่คือหลักการที่ กำหนดไว้ ไม่ได้คิดว่าเป็นการเผชิญหน้าระหว่างใครกับ ใคร ทั้งนี้ หากร่างรัฐธรรมนูญผ่านการประชามติ จะมีการ เลือกตั้งภายในปีนี้แน่นอน ผู้สื่อข่าวถามว่า ภายหลังการ ลงประชามติ คิดว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะนิ่งลง หรือ มีปัจจัยอื่นที่ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมทางการเมืองขึ้นอีก พล.อ.สุรยุทธ์ตอบว่า ในส่วนการเมืองไม่เคยนิ่งเลย ไม่ว่าในประเทศไหน ไม่เคยนิ่ง เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา

ไม่หวังจะได้ตัว “ทักษิณ-พจมาน”

ผู้สื่อข่าวถามถึงการประสานงานกับทางการอังกฤษ เพื่อส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา ในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน ภายหลังศาลอาญาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทาง การเมือง ออกหมายจับคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก พล.อ.สุรยุทธ์ตอบว่า ถือเป็นหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศที่จะสนับสนุนการทำงานของอัยการ หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะดำเนินการต่อไป เมื่อถามว่า คาดหวังว่าการส่ง ผู้ร้ายข้ามแดนจะมีผลในทางปฏิบัติหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์ ตอบว่า ไม่ได้คาดหวังอะไร ถือว่าเป็นเรื่องที่ดำเนินการตาม ขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม หากเป็นไปตามสัญญาการส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างสหราช อาณาจักรกับไทยแล้ว ก็มีขั้นตอนมากพอสมควร

“ทักษิณ” มีสิทธิใช้พาสปอร์ตไทย


ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่จะเพิกถอนพาสปอร์ตของ พ.ต.ท.ทักษิณตามข้อเสนอของฮิวแมนไรม์วอทช์ ประเทศไทย พล.อ.สุรยุทธ์ตอบว่า เรื่องนี้ยังไม่ได้ข้อมูล แต่คิดว่าโดยปกติถ้าพูดถึงสิทธิ พ.ต.ท. ทักษิณก็ยังมีสิทธิที่จะใช้พาสปอร์ตอยู่จนกว่าจะมีคำสั่งจากศาล ในขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นแค่ผู้ต้องหา ยังไม่ใช่ผู้ผิด จนกว่าจะมีการตัดสินมีการดำเนินคดี เมื่อถามว่าหมายความว่าการจะเพิกถอนพาสปอร์ตของ พ.ต.ท. ทักษิณได้ ต้องรอให้ศาลร้องขอกระทรวงการต่างประเทศใช่หรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์ตอบว่า ในหลักการจะเป็นอย่างนั้น จนกว่าจะมีการพิจารณารายละเอียดเพิ่มเติม ต่อข้อถามถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณเตรียมรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินการต่างๆ ภายในไทยหลังเหตุการณ์รัฐประหารเพื่อชี้แจงต่อทางการอังกฤษ พล.อ.สุรยุทธ์ตอบว่า รัฐบาลได้ดำเนินการทุกอย่างตามขั้นตอน ไม่เคยก้าวล่วงการดำเนินการในแต่ละส่วน ฝ่ายบริหารก็จะไม่ก้าวล่วง ฝ่ายนิติบัญญัติ หรือตุลาการ นั่นถือเป็นอำนาจของแต่ละส่วนที่ต้องดำเนินการโดยอิสระ รัฐบาลไม่มีการแทรกแซงใดๆทั้งสิ้น เว้นแต่จะมีการขอความร่วมมือ


ถกหน่วยข่าวรับมือลงประชามติ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากที่ พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นประธานการประชุม เตรียมการเดินทางไปเยือนประมาเลเซียอย่างเป็นทางการ นายกฯได้หารือร่วมกับหน่วยงานด้านการข่าว ประกอบด้วย พล.อ.บุญรอด สมทัศน์ รมว.กลาโหม นายศิระชัย โชติรัตน์ ผอ.สำนักข่าวกรองแห่งชาติ และนายประกิจ ประจนปัจจนึก เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เพื่อติดตามสถานการณ์ ทางการเมืองก่อนการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ปี 2550 ในวันที่ 19 ส.ค. โดยหน่วยงานด้านการข่าวได้รายงานสถานการณ์ให้นายกฯทราบว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองต่างๆน่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่ควบคุมได้ ทั้งนี้นายกฯได้ย้ำให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายต่างๆที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะพ.ร.บ.ว่าด้วยความเรียบร้อยในการออกเสียงประชามติ ส่วนสถานการณ์ภาคใต้ นายกฯได้สั่งการให้ติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มก่อการร้ายอย่างใกล้ชิด เนื่องจากก่อนหน้านี้มีการข่มขู่ไม่ให้ประชาชนในพื้นที่ออกมาใช้สิทธิในการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ


ขออนุมัติหมายจับ “ทักษิณ” และเมีย


วันเดียวกัน ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ นางบุษบา ดามาพงศ์ อดีตกรรมการผู้มีอำนาจบริษัทเอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) นางเพ็ญโฉม ดามาพงศ์ ผู้รับมอบอำนาจจากบริษัทเอสซี แอสเซทฯ พร้อมนายพิชิต ชื่นบาน ทนายความ เดินทางเข้าพบนายสุนัย มโนมัยอุดม อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาคดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นต่อ ก.ล.ต.ฐานร่วมกันแสดงรายการข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริง ซึ่งควรบอกให้แจ้งในแบบแสดงรายการข้อมูลในสาระสำคัญ ภายหลังการสอบสวนประมาณ 1 ชม. ทั้ง 2 ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยนายสุนัยกล่าวว่า ในส่วนของ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ที่ไม่เดินทางมาพบนั้น ถือว่ามีพฤติการณ์หลบหนีตามเหตุผลของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ดีเอสไอจึงมีมติให้ขอหมายจับบุคคลทั้ง 2 โดยให้พนักงานอัยการเป็นผู้ดำเนินการ ยืนยันว่าคดีนี้ไม่ใช่คดีการเมือง เป็นความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.ตลาด หลักทรัพย์ มีอายุความ 10 ปี 


“สนธิ” ไม่หวั่นกระบวนจ้องล้ม รธน.

พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. และประธาน คมช. กล่าวว่า ได้สั่งการให้กองทัพบกพยายามใช้สื่อของกองทัพบกที่มีอยู่ ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงรัฐบาลให้พยายามเร่งทำความเข้าใจกับประชาชนให้มากขึ้น ได้มีการทำไปแล้วทั้งสื่อวิทยุ สื่อโทรทัศน์ สื่อหนังสือพิมพ์ เพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนให้มากที่สุดในช่วงนี้ เมื่อถามว่า เป็นห่วงหรือไม่ที่ประชาชนบางส่วนยังเข้าใจผิดร่างรัฐธรรมนูญ พล.อ.สนธิกล่าวว่า คงจะมีอยู่บ้าง แต่เราจะไม่หยุด เราจะเร่งทำความเข้าใจไปเรื่อยๆ เมื่อถามว่า จะดำเนินการอย่างไรกับกลุ่มคนที่กระทำการบิดเบือนร่างรัฐธรรมนูญ พล.อ.สนธิตอบว่า ได้ประสานไปทาง กกต.ว่าให้ช่วยกำกับดูแลการกระทำใดๆที่ขัดต่อกฎหมายก็ให้ดำเนินการ เมื่อถามว่า ใน จ.บุรีรัมย์ที่มีหลักฐานว่าได้มีการบิดเบือน รธน.จะดำเนินการอย่างไร พล.อ.สนธิตอบว่า ในส่วนนี้ยังไม่ได้รับรายงาน แต่คิดว่าทางกองทัพจะประสานกับทาง กกต.ในพื้นที่เพื่อจะได้ประสานกับทาง กกต.ใหญ่อีกครั้งหนึ่ง


พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้ช่วย ผบ.ทบ. กล่าวถึงกรณีที่มีคนตั้งข้อสังเกตเรื่องการรัฐประหาร ที่อาจจะมีขึ้นแม้รัฐธรรมนูญจะผ่านการทำประชามติว่า“ไม่มีครับ สังคมสบายใจได้ ไม่มี ประเทศชาติต้องเดินไปสู่ประชาธิปไตย” เมื่อถามย้ำว่า ในอนาคตจะไม่มีการรัฐประหารอีกใช่หรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ตอบว่า “ไม่มี ถามผมไม่มี”

“ธีรภัทร์” ลุยสีลมรณรงค์ลงประชามติ

นายธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ รมต.ประจำสำนักนายกฯ ได้นำทีมเหล่าดารานักแสดงเช่น อัษฎาวุธ เหลืองสุนทร ภุสชิสสะ ธนพัฒน์ เดินรณรงค์เชิญชวนให้ประชาชนไปใช้สิทธิลงประชามติในวันที่ 19 ส.ค. โดยได้เดินขบวนไปตามถนนสีลมและซอยละลายทรัพย์ ใช้เวลาทั้งสิ้นชั่วโมงครึ่ง โดยก่อนการเดินขบวน นายธีรภัทร์กล่าวถึงความเป็นห่วงเรื่องการทำผิดกฎหมายประชามติในช่วงคืนก่อนวันที่ 19 ส.ค. ว่า ไม่น่าเป็นห่วง เพราะเจ้าหน้าที่ รัฐทั้งในต่างจังหวัดและ กทม. จะควบคุมไม่ให้มีการทำผิดกฎหมายการลงประชามติในวันที่ 18 ส.ค.ได้ และไม่เชื่อว่าการใช้เงินจะสามารถเปลี่ยนแปลงเจตนารมณ์ ของประชาชนได้ ผู้สื่อข่าวถามว่า นายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานที่ปรึกษากลุ่มไทยรักไทย เป็นห่วงเรื่องการนับคะแนนลงประชามติที่อาจจะมีการเปลี่ยนหีบบัตร นายธีรภัทร์ตอบว่า การนับคะแนนเป็นการนับที่หน่วยเลือกตั้ง ไม่มีขนหีบบัตร การทุจริตจึงเป็นไปได้ยาก และทุกฝ่ายสามารถส่งผู้สังเกตการณ์ไปยังหน่วยเลือกตั้งได้อยู่แล้วขอให้เชื่อความเป็นกลางในการปฏิบัติหน้าที่ของ กกต.

มอบหลักฐานซื้อเสียงคว่ำรัฐธรรมนูญ

วันเดียวกัน ที่รัฐสภา นายไพรวัลย์ ศกภูเขียว รองประธานกลุ่มธรรมาภิบาล ได้เดินทางเข้าพบ น.ต. ประสงค์ สุ่นศิริ ประธาน กมธ.ยกร่างฯ นายประพันธ์ นัยโกวิท กมธ.ยกร่างฯ และ กกต. พร้อมทั้งยื่นเอกสารหลักฐานที่เป็นหนังสือเชิญแกนนำและหัวคะแนนของอดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย จังหวัดนครพนม เพื่อจัดเตรียมทีมงานเพื่อคว่ำร่างรัฐธรรมนูญในพื้นที่ จ.นครพนม นอกจากนั้น ยังมีเสื้อยืด ใบปลิวและธนบัตรจำนวน 100 บาท 2 ฉบับ ที่ได้จากสายของกลุ่มธรรมาภิบาลที่แฝงตัวเข้าไปร่วมประชุมกับกลุ่มดังกล่าว

นายไพรวัลย์กล่าวว่า เอกสารหลักฐานดังกล่าว ทางกลุ่มธรรมาภิบาลได้มีการส่งสายของกลุ่ม เข้าไปแฝงตัวในการประชุมแกนนำในพื้นที่ จ.นครพนม โดยเบื้องต้นในการประชุม ทางอดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย ได้มีการแจกเงินให้กับแกนนำหมู่บ้านรายละ 2 พันบาท เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับกลุ่มชาวบ้านรายละ 200 บาท พร้อมทั้งเอกสารในการรณรงค์ในการคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ทางกลุ่มจะมีการรวบรวมข้อมูลและหลักฐาน เพื่อจะส่งให้ กกต.อีกครั้ง โดยเบื้องต้นทราบว่า ได้มีการส่งเงินให้กับแกนนำ และมีการแจกจ่ายออกไปแล้วบางส่วน คาดว่าจะมีการแจกอีกครั้งในช่วงระหว่างวันที่ 18-19 ส.ค.นี้ อย่างไรก็ตาม ทางกลุ่มจะมีการตรวจสอบทั้งใน จ.นครพนม และจังหวัดที่ใกล้เคียง เพื่อนำเอกสารหลักฐานส่งไปยัง กกต.ต่อไป


มีข้าราชการเคลื่อนไหวร่วมคว่ำ รธน.


นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต. กล่าวว่า ในเรื่องร้องเรียนที่มีการซื้อเสียงคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ จะนำเอกสารหลักฐานทั้งหมดส่งให้ กกต. เพื่อดำเนินคดีสำหรับผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยในขณะนี้เท่าที่มีการตรวจสอบนอกจากที่มีการร้องเรียนในพื้นที่จังหวัดนครพนม ยังมีการกระทำ ผิดในทำนองเดียวกันที่จังหวัดบุรีรัมย์ เบื้องต้นมีการตรวจสอบพบว่า มีข้าราชการครู และข้าราชการกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการจ่ายเงินเพื่อคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ ได้มีการเสนอให้มีการย้ายข้าราชการที่เกี่ยวข้องออกนอกพื้นที่ด้วย หน่วยงานต้นสังกัดจะนำไปพิจารณาโยกย้ายต่อไป ทั้งนี้ ในส่วนของการกระทำผิดยืนยันว่า กกต.มีมติให้มีการดำเนินคดีอย่างเฉียบขาด เพราะถือว่าเป็นการกระทำผิดทางอาญาด้วย อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการคุ้มครองพยานที่เกรงว่าจะไม่ปลอดภัย หากมีปัญหาก็จะเสนอเรื่องให้ทางกระทรวงยุติธรรมเข้าไปดำเนินการคุ้มครองพยาน ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองพยาน เชื่อว่าคงจะไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่อื่นเท่าที่มีการตรวจสอบก็พบว่า มีการส่งเอกสารใบปลิวที่เป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ในการคว่ำร่างรัฐธรรมนูญในจังหวัดพังงาอีกด้วย


แจกเสื้อแดงโนโหวตก็ถือว่าซื้อเสียง


น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงการแจกใบปลิวไม่รับร่างรัฐธรรมนูญว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะดำเนินการตามกฎหมาย เกี่ยวกับเรื่องการบิดเบือนในการทำใบปลิวแจกจ่ายหรือในรูปแบบอื่น ก็ต้องดำเนินการโดยเด็ดขาด เช่น การใส่เสื้อแดงไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ คิดว่าเรื่องใส่เสื้อแดงจะซื้อที่ไหนมาใส่ก็ได้ไม่มีความผิด แต่สิ่งที่ต้องพิจารณาคือข้อความที่เขียนต่อต้านรัฐธรรมนูญ มีขายตามร้านใดบ้าง กกต.ต้องไปถามคนใส่ว่าซื้อจากร้านไหน เพราะจะมีความผิดในเรื่องการแจกจ่ายทรัพย์สิน หรือว่าเงินทอง เพื่อให้กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง จะเป็นการล้มร่างรัฐธรรมนูญอย่างนี้ถือว่าผิด เพราะร้านค้าคงไม่ทำเสื้อวีโหวตโนใส่อย่างแน่นอน แต่ถ้าจัดทำขึ้นมาเองแล้วนำมาแจกจ่าย ก็ไม่ถือว่าเป็นการจ่ายเงินจ่ายทอง แต่เป็นการจ่ายทรัพย์สินเพื่อจูงใจให้ทำอย่างใดอย่างหนึ่ง แบบนี้ถือว่าผิด เมื่อถามว่า คิดว่าเสียงที่รับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญมีเปอร์เซ็นต์ห่างกันมากน้อยแค่ไหน น.ต.ประสงค์ตอบว่า คิดว่าผ่าน และเชื่อว่าการลงประชามติจะมีเสียงที่เห็นชอบเป็นส่วนใหญ่ เสียงที่เห็นชอบจะมีเปอร์เซ็นต์ที่ห่างกันมากกับเสียงที่ไม่เห็นชอบ


เครือข่ายมุสลิมหนุนรัฐธรรมนูญ 50


นายสมัย เจริญช่าง ตัวแทนองค์กรเครือข่ายมุสลิม 18 องค์กร ได้มายื่นหนังสือเชิญชวนไปใช้สิทธิ์ลงประชามติเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ ให้กับนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญประสานการมีส่วนร่วมและการประชามติ ทั้งนี้ หนังสือดังกล่าวระบุว่า รัฐธรรมนูญปี 2550 ดีกว่ารัฐธรรมนูญทุกฉบับที่ผ่านมา เช่นให้ความคุ้มครองและเพิ่มสิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนมากขึ้น ลดการผูกขาดอำนาจรัฐ และป้องกันการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม เป็นต้น


นายเจิมศักดิ์กล่าวว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้เน้นให้ สิทธิคนตัวเล็ก ผู้ที่ได้อำนาจจะเน้นให้ถูกตรวจสอบ แต่กลุ้มใจ ที่มีคนพยายามบิดเบือนใช้ช่องโหว่ที่รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายที่อ่านยาก เช่นที่ จ.บุรีรัมย์ถึงขนาดหลอกลวงว่าหากรับร่างจะไม่มีพระมหากษัตริย์ ส่วนที่ จ.ยโสธรหลอกว่าถ้ารับร่างก็จะไม่มีศาสนาพุทธ อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นการกำหนดเวลาชัดเจนว่ารัฐบาลและ สนช.ชุดนี้จะไปเมื่อไหร่ เมื่อไปแล้วประชาธิปไตยจะได้เดินหน้าเสียที ถ้าเราอยู่ในความมืดก็ไม่รู้ว่า คมช. จะหยิบยกรัฐธรรมนูญฉบับไหนมาอีกและจะเลือกตั้งเมื่อไหร่ก็ไม่รู้


คุ้มกันการลงประชามติชายแดนใต้


พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ประจำ ตร.ทำหน้าที่รอง ผบ.ตร. ฝ่ายความมั่นคง กล่าวถึงมาตรการรักษาความสงบเรียบร้อยในการลงประชามติว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติใช้กำลังพลทั้งสิ้น 196,320 นาย มีการจัดเฮลิคอปเตอร์ของกองบินตำรวจ และเรือกองบังคับการตำรวจน้ำ เข้ามาสนับสนุนการขนย้ายบัตรและหีบบัตร ในพื้นที่ทุรกันดารและห่างไกลคมนาคม รวมทั้งจัดชุดรักษาความสงบเรียบร้อยประจำจังหวัดและอำเภอ มีรองผบก.ภ.จ.เป็นหัวหน้าชุด ยกเว้นใน กทม.มีรอง ผบช.น.เป็นหัวหน้าชุด สำหรับหน่วยเลือกตั้งได้จัดชุดรักษาความปลอดภัยประจำหน่วยออกเสียง 87,824 นาย หน่วยออกเสียงกลาง 134 หน่วย ที่รวมคะแนนประจำอำเภอ 1,006 แห่ง จะใช้กำลังประจำหน่วยอย่างน้อย 2 นาย แต่สำหรับพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 2,897 หน่วย จะใช้กำลังประจำหน่วยไม่น้อยกว่า 4 นาย และจัดชุดคุ้มครองเส้นทาง ชุดลาดตระเวนสกัดกั้นและชุดเคลื่อนที่เร็ว กระจายอยู่เต็มพื้นที่ มีการสนธิกำลังทหาร ตำรวจและฝ่ายพลเรือน คิดว่ามาตรการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยของทุกฝ่าย จะทำให้การลงประชามติผ่านไปด้วยความเรียบร้อย


“อภิสิทธิ์” บี้ กกต.จับตาคืนหมาหอน


นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การลงประชามติมันคงไม่ต่างจากการเลือกตั้ง เวลาที่มีการเลือกตั้งจะมีการรณรงค์หาเสียงที่เข้มข้นที่สุดในช่วงสุดท้าย จะมีการเกิดการทุจริตและการซื้อเสียงในช่วง 2 คืนสุดท้าย จึงขอให้ กกต.เตรียมรับมือกับปัญหาดังกล่าว และขอให้ประชาชนไปแสดงพลังกันมากๆในวันที่ 19 ส.ค. เพื่อเป็นกระบวนการที่เราต้องการ จะใช้ในการชี้ชะตาอนาคตของประเทศ และเมื่อวันที่ 19 ส.ค.ผ่านพ้นไป ก็ต้องช่วยกันในการผลักดันให้บ้านเมืองหลุดพ้นจากสภาพการเมืองที่เป็นปัญหาและสร้างปัญหาให้กับประชาชนมาเป็นเวลาเกือบ 2 ปี


นายนริศ ขำนุรักษ์ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีสถานการณ์การเมืองหลังผ่านวันลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญว่า เชื่อว่าฝ่ายอำนาจเก่าที่มีจุดยืนไม่รับรัฐธรรมนูญจะไม่ยุติความเคลื่อนไหว โดยจะสร้างประเด็นใหม่ขึ้นมาต่อสู้ ทำให้การเมืองรุนแรงต่อไปอีก เพราะกลุ่มอำนาจเก่าจะไม่ยอมรับและจะกล่าวหาว่าผลของประชามติเป็นสีเทาหรือสีดำ อันเกิดจากรัฐบาลใช้อำนาจและเงินเพื่อผลักดันประชามติ แม้ข้อกล่าวหานี้จะทำให้ ภาพพจน์ของประเทศเสียหาย แต่กลุ่มอำนาจเก่าจะไม่ใส่ใจและจะหยิบขึ้นมาใช้เพียงหวังผลในการทำลายเท่านั้น


อัด “จาตุรนต์” ส่องกระจกดูตัวเอง


นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงกรณีที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานที่ปรึกษากลุ่มไทยรักไทย แสดงความห่วงใยในเหตุการณ์วันลงประชามติว่าอาจจะมีการเวียนเทียนและดับไฟเพื่อโกงประชามติว่า นายจาตุรนต์ต้องเข้าใจว่า กกต. ชุดนี้มาจากคณะตุลาการศาลฎีกา สังคมให้ความเชื่อมั่น ไม่เหมือน กกต.ในยุคระบอบทักษิณ ที่ถูกแทรกแซงจากฝ่ายการเมืองที่มีอำนาจ จนทำให้เกิดกรณีโกงการเลือกตั้งและช่วยเหลือฝ่ายของตนเองจนต้องคำพิพากษาให้จำคุก ขอให้นายจาตุรนต์กลับไปดูว่าพฤติกรรมการเวียนเทียน ดับไฟ เปลี่ยนหีบ โกงการเลือกตั้งเกิดขึ้นในสมัยใด โดย เฉพาะการเปลี่ยนหีบการเลือกตั้งปี 2548 อย่านำเอาพฤติกรรมที่ฝ่ายตัวเองเคยกระทำมาว่าคนอื่น การออกมาตีปลาหน้าไซของนายจาตุรนต์ในครั้งนี้ หวังผลเพียงทางการเมืองหลังจากผลการออกเสียงประชามติเสร็จสิ้นแล้ว ถ้าฝ่ายรับร่างรัฐธรรมนูญเป็นฝ่ายชนะ บุคคลเหล่านี้ก็จะเป็นฝ่ายประโคมข่าวว่ามีการโกงประชามติ เพื่อใช้เป็นประเด็นทางการเมืองในการเคลื่อนไหวต่อไป


ผลประชามติไม่ชี้ทิศทางการเมือง


นายสมศักดิ์ เทพสุทิน หัวหน้ากลุ่มมัชฌิมา กล่าวว่า ผลการลงประชามติในวันที่ 19 ส.ค. อาจชี้ทิศทางของนักการเมืองและพรรคการเมืองได้บ้าง แต่คิดว่าก็ไม่น่ามีผลอะไรมากเพราะรัฐธรรมนูญ 2550 ก็ยังไม่มีความสมบูรณ์มากนัก หรือจะเอาฉบับ 2540 มาปัดฝุ่นก็ยังไม่ สมบูรณ์อีกเช่นกันแต่สำหรับกลุ่มมัชฌิมาแล้วไม่ว่ารัฐธรรมนูญจะออกมาอย่างไรก็ยอมรับได้ทั้งนั้น เมื่อถามว่า หากรัฐธรรมนูญ 2550 ผ่านการทำประชามติ เท่ากับว่าแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) หมดความชอบธรรมในการชุมนุมต่อต้านคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติหรือไม่ นายสมศักดิ์ตอบว่า ขึ้นอยู่ กับกำลังสนับสนุน แต่หากผู้สนับสนุนเห็นแก่ประเทศชาติก็น่าจะหยุด เพราะว่ามันถึงเวลาเลือกตั้งแล้ว และต้องคืนอำนาจอธิปไตยให้กับประชาชน เมื่อถามว่าการต่อสู้คดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ จะเป็นปัจจัยชี้วัดทางการเมืองด้วยหรือไม่ นายสมศักดิ์ตอบว่า เร็วเกิน ไปที่จะพูดเรื่องนี้ เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องของตัวบุคคล อยากให้มองในเรื่องของชาติบ้านเมืองที่เป็นเรื่องของส่วนรวมมากกว่า และไม่อยากวิจารณ์อดีตนายกฯ ด้วย


กกต.บี้กลุ่มป่วน รธน.ที่บุรีรัมย์


วันเดียวกัน นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้เดินทางไปให้ความรู้ ความเข้าใจถึงร่างรัฐธรรมนูญ แก่นักเรียนชั้นประถมโรงเรียนประชานิเวศน์ โดยนายอภิชาตกล่าวว่า ในช่วงนับคะแนนผลการลงประชามติ ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะนับกันที่หน่วยเลือกตั้ง โดยมีความพร้อมในทุกด้าน ประชาชนสามารถดูผลนับคะแนนในพื้นที่ได้ ส่วนการติดตามตรวจสอบผู้กระทำผิดกฎหมายการลงประชามตินั้นได้มอบให้ กกต.จังหวัด ประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ รวบรวมหลักฐานผู้กระทำผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความ เรียบร้อยในการออกเสียงประชามติ ที่ จ.บุรีรัมย์ โดยเฉพาะการบิดเบือนข้อเท็จจริงในร่างรัฐธรรมนูญ เท่าที่ตรวจสอบผู้ที่คัดค้านน่าจะเป็นกลุ่มเดียวกัน ขณะนี้ทั้งทางภาคเหนือและภาคใต้ ไม่มีปัญหามากนัก จะพบว่ามีปัญหาคือที่ภาคอีสานตอนใต้ เช่น บุรีรัมย์ และสุรินทร์


ไฟเขียวไทยรักไทยร่วมจับผิด


นางสดศรี สัตยธรรม กกต. กล่าวถึงกรณีที่กลุ่ม ไทยรักไทยระบุว่า เจ้าหน้าที่รัฐวางตัวไม่เป็นกลาง ในการดำเนินการออกเสียงลงประชามติว่า กลุ่มไทยรักไทยเองก็เป็นตัวแทนของฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญ การพูดว่าประชามติอัปยศหรือประชามติสกปรก เป็นการแสดงเจตนาชัดเจนว่าต้องการอะไร ยืนยันว่า กกต.ทุกคนทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา และต้องการให้การลงประชามติมีความโปร่งใส สุจริต ต้องการให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมตรวจสอบการลงประชามติ หากกลุ่มไทยรักไทยจะส่งคนเข้ามาร่วมสังเกตการณ์ ก็ต้องยื่นรายชื่อให้ กกต. ทราบ แต่จะไม่อนุญาตให้เข้าไปในบริเวณคูหาเด็ดขาด เพราะเกรงจะเกิดความวุ่นวายได้


นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต. กล่าวว่า ขอให้ประชาชนมั่นใจว่า กกต.จะต้องจัดการออกเสียงลงประชามติด้วยความโปร่งใสในทุกขั้นตอน ขอให้กลุ่มไทยรักไทยยุติการใส่ร้าย กกต. ทุกคนต่างมีศักดิ์ศรี กกต. ก็มีศักดิ์ศรี และทราบถึงบทเรียนในอดีต ที่ประชาชนขาดความเชื่อมั่นศรัทธาในการดำเนินงานของกรรมการที่เป็นกลาง เราจะไปโกงเพื่อใคร


ทรท.จี้ กกต.สอบเจ้าหน้าที่รัฐ


วันเดียวกัน นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี แกนนำกลุ่มไทยรักไทย ได้เข้ายื่นเรื่องขอให้ กกต.ตรวจสอบเจ้าหน้าที่รัฐที่วางตัวไม่เป็นกลาง ในการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ 2550 พร้อมมอบหลักฐานเป็นหนังสือขอความร่วมมือจากกองกิจการพลเรือน มณฑลทหารบกที่ 24 แจ้งให้สถานีวิทยุใน จ.อุดรธานี เผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญ และรณรงค์ให้มีส่วนร่วมรับร่างรัฐธรรมนูญ และหนังสือสั่งการจาก กอ.รมน. ที่ขอให้ประสานผู้นำท้องถิ่นรณรงค์ให้ประชาชนมาใช้ สิทธิ์ เพื่อถ่วงดุลกับฐานเสียงของกลุ่มไทยรักไทยที่มีเงินทุนจำนวนมาก และมีข้อมูลการสั่งการด้วยวาจาในระหว่างงานเลี้ยงกำนัน ผู้ใหญ่บ้านใน จ.แพร่ ที่มี รอง ผวจ. นายอำเภอ และนายทหาร กำชับให้เจ้าหน้าที่เร่งรณรงค์ให้ประชาชนรับร่างรัฐธรรมนูญ โดยอนุญาตให้ใช้วิธีการทุกรูปแบบได้ แม้กระทั่งวิชามาร ขอให้ กกต. เร่งตรวจสอบ เพราะขัดต่อมติ ครม.ที่ให้ข้าราชการวางตัวเป็นกลาง และยังมีการสอบถามถึงกฎเกณฑ์ในการส่งคนเข้าไปร่วมสังเกตการณ์นับคะแนนด้วย


“สพรั่ง” ระบุเป็นฝีมือพวกขี้แพ้ชวนตี


พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ผู้ช่วย ผบ.ทบ.และผู้ช่วยเลขาธิการ คมช. กล่าวว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะผ่านหรือไม่ผ่านประชามติ ถือเป็นเรื่องปกติในระบอบประชาธิปไตย เพียงแต่สถานการณ์ปัจจุบันมีบุคคลบางกลุ่มพยายามจุดประเด็น และเบี่ยงเบนว่าถ้าทำให้ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ไม่ผ่านประชามติ จะถือว่าล้มเผด็จการได้สำเร็จ เป็นเรื่องของพวกขี้แพ้ชวนตีเอามาเป็นเงื่อนไข นี่คือการจุดประเด็นที่เรียกว่ากวนน้ำให้ขุ่น การจะมองว่ารัฐบาลและทุกหน่วยงานทุ่มเทประชาสัมพันธ์อย่างเต็มที่หรือไม่ เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนไปลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้น ต้องพิจารณาเปรียบเทียบกับสถานการณ์ในขณะนั้นด้วยว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ เพราะการทุ่มเทในการประชาสัมพันธ์ ไม่ใช่หมายถึงการทุ่มงบประมาณจำนวนมาก แต่ต้องทำอย่างเข้าถึงและตรงจุด เพื่อให้การประชาสัมพันธ์ได้ผล และช่วยกระตุ้นให้ประชาชนไปลงประชามติมากที่สุด
 

“ความแข็งขันของการประชาสัมพันธ์ ไม่ใช่มาบอกว่าลงทุนใช้งบไปตั้งร้อยล้าน มันไม่ใช่ คุณตำน้ำพริกละลายแม่น้ำหรือเปล่า คุณต้องรู้ว่าจะประชาสัมพันธ์แบบไหน จะจูงใจคนแบบไหน ต้องทุ่มเทแบบนี้ถ้าทุ่มเทแล้วประชาชนไม่รับ แปลว่าสิ่งที่เราให้นั้นไม่พอ แม้จะเป็นยาที่ถูกโรค แต่เชื้อโรคอาจปรับตัวเองสร้างภูมิคุ้มกันตัวเอง หรือดื้อยาฆ่าไม่ตาย” พล.อ.สพรั่งกล่าว


อดีต ส.ส.ไทยรักไทยเล่นของสกปรก


นายประแสง มงคลศิริ อดีต ส.ส.อุทัยธานี พรรคไทยรักไทย พร้อมชายแต่งกายในชุดทหารถือปืนปลอมสวมหน้ากากผี นำอุจจาระแปะบนหนังสือร่างรัฐธรรมนูญใส่พาน นำไปมอบให้นายอุดม พัวสกุล ผวจ.อุทัยธานี ที่หน้าจวนผู้ว่าฯ แต่เจ้าหน้าที่ไม่เปิดประตูให้นายประแสงจึงนำอุจจาระดังกล่าวไปมอบให้ พล.ต.ต.ราเชนทร์ รื่นกมล ผบก.ภ.จ.อุทัยธานี ที่กองบังคับการฯ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็นำรถและเครื่องกั้นมาดักที่หน้าประตู และขอร้องให้นายประแสงกลับไป โดยนายประแสงกล่าวว่า ที่ทำอย่างนี้ เพราะเห็นว่าทางราชการวางตัวไม่เป็นกลางในการรณรงค์ ให้ประชาชนเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ จึงต้องออกมาประท้วง

นายอุดม พัวสกุล ผวจ.อุทัยธานี กล่าวว่า เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม คนมีความรู้น่าจะคิดได้มากกว่านี้ ความเห็นถือเป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่ไม่ควรทำให้เกิดภาพลบแก่จังหวัดอุทัยธานีและชาวอุทัยธานี อันที่จริงช่วงนี้นักการเมืองน่าจะใช้เวลาที่มีอยู่ออกไปช่วยกันรณรงค์ให้ชาวบ้านไปใช้สิทธิออกเสียงประชามติกันให้มากที่สุด การทำแบบนี้เหมือนต้องการเป็นข่าวเท่านั้น


“อดิศร” จวก “สุรยุทธ์” โกหกคำโต


นายอดิศร เพียงเกษ แกนนำกลุ่มไทยรักไทย กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ออกมาบอกกับพี่น้องประชาชนว่า รัฐธรรมนูญของไทยทุกฉบับล้วนมาจากการรัฐประหารว่า คนระดับ พล.อ. สุรยุทธ์ไม่น่าพูดเช่นนั้น เพราะสิ่งที่พูดไม่เป็นความจริง รัฐธรรมนูญที่เกิดจากการปฏิวัติมีเพียงฉบับเดียวคือ รัฐธรรมนูญเมื่อปี 2475 ที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ส่วนการรัฐประหารครั้งต่อๆมาไม่ใช่การปฏิวัติ แต่เป็นการยึดอำนาจของประชาชนมาจากฝ่ายบริหาร และรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยจริงๆก็มีแค่ 3 ฉบับเท่านั้นคือ รัฐธรรมนูญปี 2489 สมัยนายปรีดี พนมยงค์ เป็นนายกฯ รัฐธรรมนูญปี 2517 หลังเหตุการณ์ เดือนตุลา 2516 และรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 “รัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 นั้น อย่าได้เอาไปเทียบกับรัฐธรรมนูญทั้ง 3 ฉบับ ที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เพราะคล้ายกับรัฐธรรมนูญที่ออกมาจากสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จอมถนอม กิตติขจร เพราะคลอดมาจากมดลูกของเผด็จการ พล.อ.สุรยุทธ์พูดเช่นนั้นเท่ากับเป็นการบิดเบือน ขอเรียกร้องให้ กกต.เร่งมาตรวจสอบพฤติกรรมของนายกฯ ในเรื่องนี้ด้วย” นายอดิศรกล่าว


กลุ่มชุมนุม นปก.หลั่งเลือดต้านรัฐธรรมนูญ


ทางด้านความเคลื่อนไหวของม็อบ นปก.นั้น เมื่อเวลา 14.00 น. กลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย นำโดยนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำ นปก.2 พร้อมอาสาสมัครประมาณ 50 คน ได้จัดทำพิธีหลั่งเลือดประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ท่ามกลางการคุมเข้มของเจ้าหน้าที่ตำรวจและเทศกิจกว่า 500 นาย โดยนำแผงเหล็กมาปิดล้อมรอบอนุสาวรีย์ ไม่อนุญาตให้กลุ่มผู้ชุมนุมเข้ามาทำกิจกรรมดังกล่าวในพื้นที่ ทำให้ เกิดการโต้เถียงกันระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ต่างใช้รถติดเครื่องขยายเสียงตอบโต้กันไปมานานกว่า 1 ชั่วโมง จากนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมได้เคลื่อนตัวเข้าประชิดแนวสกัดกั้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยนายปัญญา สุรกำจรเลิศ แกนนำกลุ่มรากหญ้าเพื่อประชาธิปไตย ได้อาสาใช้มีดคัตเตอร์สีแดงกรีดแขนซ้ายของตัวเอง เป็นทางยาวประมาณ 2 ซม. บนรถกระบะ ที่จอดอยู่หน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
 
ทั้งนี้ นายปัญญากล่าวว่า การหลั่งเลือดวันนี้ นอกจากเพื่อคารวะวีรชนที่ได้เสียสละเพื่อประชาธิปไตยก่อนหน้านี้ ยังเป็นการประกาศเตือนเหล่าเผด็จการทุกสายพันธุ์ว่า เราจะต่อสู้เพื่อทวงคืนประชาธิปไตย จนกว่าเผด็จการจะสิ้นซากจากแผ่นดินไทย จากนั้นสมาชิกกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย ได้รีบนำตัวนายปัญญาไปส่งโรงพยาบาล เพื่อทำการปฐมพยาบาล ก่อนที่จะสลายการชุมนุมในเวลาต่อมา


ยื่นถอนประกันแกนนำม็อบ นปก.1


วันเดียวกัน ที่ห้องพิจารณาคดี 602 ศาลอาญา ศาลได้ออกนั่งบัลลังก์เพื่อไต่สวนคำร้อง ที่ พล.ต.ต.เจตน์ มงคลหัตถี รอง ผบช.น. ในฐานะหัวหน้าชุดพนักงานสอบสวนคดีม็อบ นปก. ยื่นคำร้องขอเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราว นายวีระ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายจักรภพ เพ็ญแข นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย และ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะนัน แกนนำ นปก.ทั้ง 6 คน ที่ไปขึ้นเวทีปราศรัยของ นปก. ที่ท้องสนามหลวง และกล่าวปราศรัยโดยใช้ถ้อยคำลักษณะที่เป็นการยั่วยุ อันเป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนดของศาลที่อนุญาตให้ประกันตัว

โดยเหตุเกิดเมื่อวันที่ 14 ส.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่นายเจษฎา จันทร์ดี ทนายความผู้ต้องหา ได้ยื่นคำร้องคัดค้าน พร้อมกันนี้ พล.ต.ต.เจตน์ได้ยื่นคำร้องขอผัดฟ้องฝากขังจำเลยทั้ง 9 คน เป็นครั้งที่ 3 เนื่องจากการสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จ อย่างไรก็ตาม ศาลเห็นว่า คำร้องขอเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราว และคำคัดค้านของฝ่ายจำเลย สามารถพิจารณาได้จากเอกสารดังกล่าว โดยไม่ต้องทำการไต่สวน พร้อมมีคำสั่งนัดให้ผู้ต้องหาทั้ง 9 คน มาฟังคำสั่งคำร้องดังกล่าว ในวันที่ 21 ส.ค.นี้ เวลา 10.30 น.


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์