บิ๊กแอ้ด ย้ำไม่ผิดทหารลงเล่นการเมือง วอนอย่ากีดกัน

นายกฯ ระบุ

ทหารออกจากราชการแล้วเล่นการเมืองได้ไม่ผิด วอนอย่ากีดกัน รับเส้นทางการเมืองนอกจากจะต้องมีฐานเสียงปชช.แล้ว ยังต้องมีเงินด้วย เน้นอยากเห็นการเมืองไทยแตกต่างแต่ไม่แตกแยก ให้นักการเมืองรุ่นใหม่มีคุณธรรมจริยธรรม

เมื่อเวลา 08.00 น. พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ในรายการ

'เปิดบ้านพิษณุโลก' ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ เป็นครั้งที่ 15 โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการจัดตั้งพรรคการเมืองของทหาร หรือที่เรียกว่าพรรคทหาร ว่า พรรคการเมืองเกิดขึ้นมาก็เพื่อดำเนินกิจกรรมทางการเมือง  ถ้าหากว่าเราพูดถึงบุคคลซึ่งประกอบอาชีพ พูดถึงอาชีพ อย่างตนก็เคยมีอาชีพเป็นทหาร ปัจจุบันไม่ได้เป็นแล้ว เกษียณแล้วก็เป็นคนไทยคนหนึ่ง ก็น่าจะมีเสรีในการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองเช่นกัน


'ผมเลือกทางเดินของผมเอง ส่วนท่านอื่นๆ ท่านก็เลือกของท่าน ผมคิดว่าไม่น่าที่จะไปเรียกว่าเป็นพรรคทหาร หรือเป็นพรรคอะไร  เป็นกลุ่มบุคคลซึ่งมารวมกันด้วยความคิดเห็นทางการเมืองในแนวทางเดียวกัน' นายกรัฐมนตรี กล่าว และว่า ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร

พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวย้ำต่อว่า

เรื่องนี้ไม่ผิด แต่ก็ไม่ควรที่จะไปเรียกว่าพรรคทหาร เพื่อให้เกิดความคิดว่าทหารไม่ควรที่จะมาเกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้ เมื่อพ้นจากการประกอบอาชีพไปแล้ว ระเบียบมีอยู่แล้ว ก็เป็นคนไทยคนหนึ่งอยู่ที่สิทธิของแต่ละคนที่จะเลือกทางเดินของท่านเอง  

 เมื่อถามว่าอดีตที่ผ่านมานายทหารส่วนใหญ่ที่ลงเล่นการเมืองมักไม่ประสบความสำเร็จ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า

ในส่วนนี้ก็เป็นบทเรียนที่คิดว่าเราสามารถจะศึกษาได้ แต่ส่วนสำคัญคืองานทางการเมืองนั้นจะต้องมีพื้นฐานที่ดีพอ จะต้องมีผู้ที่ให้การสนับสนุนค่อนข้างมากพอสมควร และส่วนที่คงหลีกเลี่ยงยากคือฐานเสียง ฐานการสนับสนุน ทั้งทางด้านพลังเงินด้วย เพราะว่าการทำงานการเมืองนั้นถ้าไม่มีเงินก็คงลำบาก



 ส่วนการทำงานที่ผ่านมาช่วง 8-9 เดือน พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวยอมรับว่า

เป็นการทำงานทางการเมือง แต่ก็คิดว่าถ้าหากไม่รับมันก็มีปัญหา  ปัญหาที่ว่านั้นก็หมายถึงว่า ทางฝ่ายผู้ที่ทำรัฐประหารเองก็คือทางคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ก็ไม่ไว้ใจว่าจะมีบุคคลซึ่งเขามีความไว้วางใจพอที่จะมาทำหน้าที่ฝ่ายบริหารหรือไม่ ตรงนี้ก็เป็นส่วนที่สำคัญ อย่างที่เราพูดกันในปัจจุบันว่าเมื่อยึดอำนาจมาแล้วนี้ทำไมถึงไม่บริหารเอง เพราะในอดีตมักจะเป็นเช่นนั้น


'ผมเองไม่ได้กลัวนะครับ เพราะว่าได้ตั้งทัศนคติไว้แล้วว่าการเมืองคือการที่จะหาทางแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี อย่างที่ผมได้เรียนว่าเราแตกต่างแต่ไม่แตกแยก ตรงนี้เป็นส่วนสำคัญ ผมพยายามที่จะหาทางแก้ไขปัญหาต่างๆ โดยวิธีการทางการเมือง บางคนอาจจะมองว่าเอ๊ะมาทำอย่างไรถึงได้พยายามที่จะมองภาพในส่วนที่จะไม่ทำให้เกิดความรุนแรง ไม่ทำให้เกิดเรื่องซึ่งเป็นข้อโต้แย้งออกไปสู่สาธารณชนต่างๆ เหล่านี้เป็นต้น
 
นั่นก็เป็นส่วนที่ผมพยายามจะทำ เรื่องนี้คงเป็นความแตกต่างนะครับ

การบริหารในยามที่เป็นช่วงที่เราเรียกว่าเปลี่ยนผ่าน แม้กระทั่งในส่วนของสภานิติบัญญัติแห่งชาติเอง รัฐบาลก็ไม่มี พูดง่ายๆ ว่าไม่มีเสียงส่วนใหญ่ ก็เป็นลักษณะการทำงานที่แปลกอีกส่วนหนึ่งเหมือนกัน ผมเคยทำงานการเมืองในสมัยที่รัฐบาลมีเสียงส่วนใหญ่อยู่ในสภา ถึงแม้ว่าจะมีหลายพรรค  ก็เป็นเรื่องที่เป็นประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ถือได้ว่าค่อนข้างที่จะแปลกกว่าอดีตที่ผ่านมา' พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า

ประสบการณ์ทางการเมืองของพี่น้องประชาชนคนไทยนี้เป็นส่วนสำคัญ การเปลี่ยนแปลงเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ก็เป็นจุดๆ หนึ่งที่พี่น้องประชาชนได้แสดงออก เหมือนอย่างที่เราพูดกันในตอนต้นว่าการรัฐประหารที่เกิดขึ้นมานั้น  ไม่ได้มีการต่อต้าน มีผู้คนนำดอกไม้ไปแสดงออก นั่นเป็นส่วนที่คิดว่าเป็นการแสดงออกที่ค่อนข้างชัดเจนของพี่น้องประชาชน แน่นอนว่ามันไม่ได้เป็นสิ่งที่เป็นวิถีทางทางการเมือง แต่ว่าการแสดงออกของพี่น้องประชาชน แสดงให้เขาเห็นว่า เขาไม่ต้องการผู้บริหารซึ่งไม่โปร่งใสมองดูแล้วมันมัวหมอง และเมื่อเราจะก้าวเข้าไปสู่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในครั้งต่อไป คิดว่านักการเมืองรุ่นใหม่ๆ ตระหนักดีถึงสิ่งเหล่านี้ ที่พูดเรื่องคุณธรรมจริยธรรมก็เป็นเรื่องของการที่จะสร้างสังคม ซึ่งถือคุณค่าในเรื่องของสภาพของความคิดของจิตใจมาก่อนสิ่งที่จะเป็นวัตถุ


เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์