ระบอบทักษิณอันตราย ปลุกพลังไล่ภาค2 ก่อนชาติพินาศ!

"ระบอบทักษิณ"อันตราย ปลุกพลังไล่ภาค2 ก่อนชาติพินาศ!

โดย ผู้จัดการรายสัปดาห์ 8 เมษายน 2549 10:39 น.

´นักวิชาการ-พันธมิตร´ลั่นก้าวต่อไปต้องรวมพลังล้ม´ระบอบทักษิณ´ตัว"อันตราย"ต่อประเทศแท้จริงเพราะเข้าครอบงำทุกภาคส่วนทั้งภาคการเมือง-องค์กรอิสระ-สื่อ เอื้อประโยชน์กลุ่มตน พันธมิตรชู 2 กลยุทธ์ ´ปฏิรูปการเมือง-ชิงมวลชนรากหญ้า´ร่วมต้าน ระบุการประกาศเว้นวรรคการเมืองไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้อง

ทันทีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ประกาศค่ำวันที่ 4 เมษายนไม่ขอรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา กระแสประชาชนที่ตอบรับส่วนหนึ่งแสดงความสงสาร แต่ส่วนใหญ่แล้วได้แสดงอาการเป็นห่วงว่านโยบายประชานิยมที่มากับพรรคไทยรักไทย โดยเฉพาะโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคจะหายไปด้วยหรือไม่? ไม่แปลกที่คนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะรากหญ้าจะกังวล และไม่แน่ใจว่า ´ตัวแทน´ คนอื่นที่มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจะผลักดันนโยบายต่าง ๆ ของพรรคไทยรักไทยต่อไปได้

นี่คือผลมาจากการบริหารประเทศแบบ "ระบอบทักษิณ" เป็นระบอบทักษิณที่รวมทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในตัว พ.ต.ท.ทักษิณ แต่เพียงผู้เดียว!

อันตราย!ระบอบทักษิณ

ผศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ ผู้อำนวยการศูนย์นิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่าระบอบทักษิณ คือระบบที่ พ.ต.ท.ทักษิณ คือศูนย์กลางของทุกสิ่งทุกอย่าง และสร้างกลไกในการแสวงหาประโยชน์โดยอาศัยอำนาจทางการเมือง

โดยภาคการเมือง พ.ต.ท.ทักษิณ ได้อาศัยกลไกของพรรคไทยรักไทย ในการครอบงำ สภาผู้แทนราษฎร รวมไปถึงสมาชิกวุฒิสภา ขณะเดียวกันมีฐานทางธุรกิจของกลุ่มตัวเอง ท้ายที่สุดแล้วมีการใช้อำนาจรัฐในภาคการเมืองทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติในการเอื้อประโยชน์ธุรกิจตัวเองและพวกพ้อง โดยเฉพาะธุรกิจของตระกูลชินวัตรที่เป็นกิจการที่มีลักษณะผูกขาด หรือกิจการที่อาจได้ประโยชน์จากการกำหนดนโยบายของรัฐในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

"สิ่งเหล่านี้สะท้อนภาพความเป็นระบอบทักษิณได้อย่างดี ซึ่งวันนี้ถ้าไม่มีการสะดุด อนาคตยังเป็นเรื่องที่ถือว่าอันตรายมาก"

โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการเปิดเสรีทางการค้าให้ต่างชาติ ถือเป็นการนำภัยเข้าไปสู่กระแสเสรีทุนนิยม เห็นได้ชัดจากกรณีการเปิดเอฟทีเอไทย-สหรัฐอเมริกา ที่ท้ายที่สุดแล้วไทยจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเขา เพราะการนำประเทศไปแข่งขันในเวทีโลก โดยมีเฉพาะกลุ่มธุรกิจของตัวเองและพวกพ้องที่เข้มแข็ง ขณะที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ของไทยยังไม่เข้มแข็งพอ

ขณะเดียวกัน อีกทางหนึ่งรัฐบาลพยายามออกกฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษ ที่จะนำไปสู่การเป็นนายหน้าตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษให้ต่างชาติ ถือเป็นเรื่องอันตรายเช่นกัน

นอกจากนี้ ระบอบทักษิณ ปัจจุบันยังแผ่ไปครอบงำ 3 องค์กรสำคัญด้วย ได้แก่ ภาคองค์กรอิสระ เนื่องจากการใช้กลไกการเมืองในการเอื้อธุรกิจของกลุ่มตัวเองและพวกพ้อง หลายครั้งมีลักษณะที่หมิ่นเหม่ และไม่ถูกต้องตามกฎหมาย จึงมีความจำเป็นต้องครอบงำองค์กรอิสระ เพราะกำหนดทิศทางการดำเนินการไปเอื้อธุรกิจตัวเอง

"เขาได้รับบทเรียนตอนคดีซุกหุ้นครั้งที่ 1 จึงรู้ว่าองค์กรพวกนี้มีความสำคัญมาก"

องค์กรสื่อ โดยเฉพาะวิทยุโทรทัศน์ โดยใช้กลไกรัฐเป็นตัวแทรกแซง ขณะที่สื่อสิ่งพิมพ์เองมีการใช้กลไกในเรื่องของค่าโฆษณาเป็นตัวครอบงำภาคประชาชน โดยใช้นโยบายประชานิยม ซึ่งถือเป็นการเอาเงินภาษีประชาชนไปซื้อความนิยมให้พรรคการเมือง

"จุดนี้ใช้ระบอบทักษิณเป็นแกนกลาง มีการจูงใจให้รากหญ้าเลือกตั้งตัวเองเข้ามาทำให้ระบอบทักษิณเข้มแข็งขึ้น รากหญ้าจะเป็นตัวที่คอยปกป้องระบบนี้ให้คงอยู่ แต่จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องอันตรายมาก เพราะเป็นการนำเงินในอนาคตมาใช้ก่อน เป็นการสร้างหนี้ภาคประชาชนโดยใช่เหตุ"

อีกทั้งการแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่รัฐบาลพยายามทำ เป็นการตัดตอนให้นักการเมืองเข้าไปมีส่วนแบ่งในกำไรรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ เท่านั้น วันนี้จึงถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องล้มระบอบทักษิณให้หมดไป!

เปิด 5 กรณีทำศก.ชาติยับ

ผศ.ดร.นิพนธ์ พัวพงศธร คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่าระบอบทักษิณนี้เป็นระบอบที่พยายามสร้างขึ้นมาเพื่อทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับคะแนนนิยมมากที่สุดเพื่อความชอบธรรมในการมีอำนาจในการทำเรื่องต่าง ๆ หากมีการใช้อำนาจดังกล่าวเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม และมีกติการองรับถูกต้อง ก็ไม่น่าจะมีปัญหา แต่ปรากฏหลักฐานว่ามีการใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ส่วนตัวมากกว่า

หลายกรณีไม่คำนึงถึงกฎ กติกาใด ๆ จะสร้างความเสียหายให้ระบบเศรษฐกิจในอนาคตอย่างมาก โดยเฉพาะ 5 กรณีสำคัญ ได้แก่ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ,เรื่องเกี่ยวกับสมบัติชาติ,ผลประโยชน์ทับซ้อนของนักการเมือง,ตลาดหลักทรัพย์ และการแก้ปัญหาความยากจน

โดยการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ที่ตอนหาเสียงมีการบอกว่ากฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายขายชาติ จะต้องมีการแก้ไขกฎหมายรัฐวิสาหกิจ และมีการตั้งคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจขึ้นมาแก้ไข แต่สุดท้ายก็ไม่มีการดำเนินการใด ๆ แม้จะมีทิศทางแล้วก็ตาม แสดงให้เห็นเจตนาที่แท้จริงว่าไม่ต้องการให้มีการแก้ไขกฎหมายฉบับนี้

ที่สำคัญในเรื่อง กฟผ. ที่ทำการแปรรูปกันมา สุดท้ายศาลปกครองก็ตัดสินว่าเป็นการโอนอำนาจหน่วยราชการไปให้เอกชนผูกขาด โดยเรื่องของการจำหน่ายไฟฟ้าและระบบการส่งไฟฟ้า กฟผ.ถือว่ามีการผูกขาดอยู่ประมาณ 80% หากโอนอำนาจให้เอกชน เอกชนก็จะกลายเป็นผู้มีอำนาจผูกขาดในตลาดแทน

"เรามีกฎหมายการแข่งขันทางธุรกิจ ในมาตรา 25 ระบุชัดเรื่องผู้มีอำนาจเหนือตลาด ที่ห้ามมีพฤติกรรมรังแก หรือ ผูกขาด แต่หากจะใช้กฎหมายนี้ต้องออกประกาศในราชกิจจานุเบกษา แต่เมื่อถึงขั้นตอนของรัฐบาลก็หยุดอยู่เพียงแค่คณะกลั่นกรองไม่เคยได้เข้าไปพิจารณาในครม."

เรื่องสมบัติชาติ ต้องมีการนิยามกันใหม่ว่าอะไรที่เป็นสมบัติชาติให้ต่างชาติถือครองไม่ได้ เพราะเมื่อมีการแก้กฎหมายให้ต่างชาติถือหุ้นได้ 49% และในความเป็นจริงคนไทยที่ถือหุ้นอีก 51% เป็นเพียงนอมินี่ของต่างชาติ ก็ทำให้สมบัติชาติของไทยไปตกอยู่ในมือต่างชาติหมด ฉะนั้นต้องกำหนดกันใหม่ว่าอะไรคือสมบัติชาติ เช่นท่อแก๊ซ แก๊ซในอ่าวไทย สัญญาณวิทยุโทรทัศน์ฯลฯ

เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนเป็นเรื่องสำคัญอีกกรณีหนึ่งที่ขณะนี้มีอยู่จำนวนมาก ไม่ว่าเป็นกรณีของ กฟผ. นกแอร์ หรือไทยอินเตอร์ เดิมมีกฎหมายรัฐธรรมนูญ และมี กฎหมายป.ป.ช.ระบุเรื่องนี้ชัดเจน แต่ไม่มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง จึงอยากให้ตั้งองค์กรพิเศษขึ้นมาดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะเพื่อให้เกิดการปฎิบัติให้ถูกต้อง รวมถึงมีการลงโทษผู้กระทำผิดจริง

กม.อ่อน-วงในปั่นหุ้นอื้อ

ขณะที่กลไกตลาดหลักทรัพย์ ปกติแล้วการมีนอมินีให้ต่างชาติเป็นเรื่องปกติ แต่ไทยมีกฎหมายเรื่องนี้ที่อ่อนแอมาก ทั้งเรื่องการเอาผิดกับการปั่นหุ้น หรือการรู้ข้อมูลภายในมาเอาเปรียบผู้อื่น หรือการเสียภาษีการซื้อขายที่เป็นประเด็นปัญหา

"ถ้าจะให้นักลงทุนต่างชาติมาลงทุน ต้องชัดเจนโปร่งใส ไม่ใช่มีช่องโหว่ให้คนมาหากิน"

เรื่องสุดท้ายคือความยากจน ที่ยังแก้กันผิดทาง แม้ว่าตอนแรก ๆ จะทำดีแล้วในเรื่องของ 30 บาทรักษาทุกโรค และกองทุนหมู่บ้าน แต่ภายหลังกลับแก้ปัญหาโดยเน้นเรื่องเงินแจกเป็นหลัก ซึ่งปัญหาทุกอย่างต้องใช้การแก้ปัญหาที่ต่างกัน ไม่ใช่จะไปแจกแต่เงิน

รวมทั้งรัฐบาลต้องแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมที่แตกต่างกันมาก ระหว่างเมืองกับชนบท ควรให้คนชนบทมีฐานะความเป็นอยู่ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ใกล้เคียงกับคนในเมืองมากกว่านี้

"ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นปัญหา 2 นครา ที่คนชนบทเลือก คนกรุงล้มล้างรัฐบาลต่อไป"

ชี้ระบอบทักษิณสมบูรณ์แบบ 100%

ด้าน สุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่าในเบื้องต้นต้องยอมรับว่าแม้ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเว้นวรรคทางการเมือง แต่ระบอบทักษิณยังอยู่ และอยู่แบบสมบูรณ์แบบ 100%

"ต่อไป พ.ต.ท.ทักษิณ จะยังคงเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุด มีส.ส.มากที่สุด และมีอำนาจมากที่สุด ซึ่งจะสามารถชี้ร่างทรงรับตำแหน่งนายกฯ ได้ตลอดเวลา การบริหารการเมืองก็เป็นกรอบคิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนกำกับทุกอย่าง เหมือนเป็นพันท้ายนรสิงห์"

โดยหลักความคิดของ พ.ต.ท.ทักษิณก็ชัดเจนว่าเป็นการพึ่งพาทุนนิยมสุดโต่ง เมื่อดูจากการขายรัฐวิสาหกิจ การเปิดเสรีการค้า หรือเอฟทีเอ หรือดำเนินการเพื่อตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศมหาอำนาจ

จุดนี้พันธมิตรฯ จะเดินหน้าสู้ต่อไป แต่จะเป็นรูปแบบไหนต้องดูสถานการณ์ต่อไป เพราะเราประกาศตั้งแต่ต้นแล้วว่าเราไม่ได้สู้กับตัว พ.ต.ท.ทักษิณ แต่เราต้องล้มระบอบทักษิณให้หมดไปให้ได้

2 วิธีล้มระบอบทักษิณ

โดยวิธีการล้มระบอบทักษิณ จำเป็นต้องมีการปฏิรูปการเมืองครั้งที่ 2 เพื่อลดอำนาจรัฐเพิ่มอำนาจประชาชน สร้างกลไกตรวจสอบการเมืองที่เข้มแข็งมากขึ้น เน้นการให้ประชาชนมีส่วนร่วม ให้สามารถกำหนดสาธารณะได้มากขึ้น และต้องให้ความรู้ให้ข้อมูลข่าวสาร เปิดโปงการฉ้อฉลที่เกิดขึ้นทั้งจากนโยบาย การใช้อำนาจทางการเมืองเอื้อธุรกิจ ฯลฯ

"พันธมิตรฯจะตีเมืองขึ้น ช่วงชิงพื้นที่การเมือง เพราะปัจจุบันคนที่เห็นชอบกับระบบทักษิณ มีเพียงระบบรากหญ้าที่ส่วนใหญ่ถูกปิดหูปิดตา และโดน ยัดเยียดข้อมูล ทั้ง ๆ ที่คนชั้นกลางปฏิเสธระบบนี้ไปเรียบร้อยแล้ว"

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์