มูลเหตุ 3 ประการ ทำบิ๊กบังเนื้อหอม

หากลำดับความเคลื่อนไหวของ "พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน" ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)

ตลอดห้วงเวลาที่ผ่านมา จะพบจังหวะก้าวเข้าสู่สนามทางการเมืองที่เด่นชัดขึ้นตามลำดับ แม้ขณะนี้ "ว่าที่นักการเมืองเลือดใหม่" จะยังออกอาการ "แทงกั๊ก" ไม่ยอมระบุคำตอบที่แน่ชัดต่อสาธารณชน แต่ "นักการเมืองรุ่นลายคราม" ทุกสำนักต่างฟันธงว่า "สนธิมาแน่" และมาแรงเสียด้วย

จึงไม่แปลกอะไรหาก "คนพันธุ์การเมือง" จะหยิบเอาความอยากขึ้นมาเกาะกระแส โดยหวังดึง "นักการเมืองสีเขียว" เข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรใหม่ ไม่ว่าจะเป็น...

"สุเทพ เทือกสุบรรณ" เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ที่ออกมาร้องเพลง เวลคัม ทู มาย เวิลด์

"บรรหาร ศิลปอาชา" หัวหน้าพรรคชาติไทย ที่ออกอาการจี๋จ๋าบอกว่าไม่รังเกียจผู้ก่อรัฐประหาร ซ้ำยังขอร้องแกมบังคับให้ "บิ๊กบัง" เข้าสู่วงโคจรของอำนาจโดยให้เหตุผลว่า "การจะลงจากอำนาจ คงต้องมีอะไรมารองรับเพื่อป้องกันไม่ให้มีการเช็คบิลในภายหลัง"

ไม่ต่างจาก "พินิจ จารุสมบัติ" แกนนำกลุ่มแนวร่วมสมานฉันท์ที่ออกมากวักมือหยอยๆ เรียกประธาน คมช.เข้าบ้าน โดยใช้ 4 นายพล ประกอบด้วย "พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร" อดีต รมว.กลาโหม "พล.อ.วิชิต ยาทิพย์" อดีต รอง ผบ.ทบ. "พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี" ที่ปรึกษาผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) และ "พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน" สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งล้วนแต่มีสายสัมพันธ์และเป็นคนสีเดียวกันกับ "บิ๊กบัง" เป็น "ตัวล่อซื้อ"

เช่นเดียวกับแกนนำกลุ่มมัชฌิมาของ "สมศักดิ์ เทพสุทิน" ที่ประกาศตัวพร้อมร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคทหาร

คำถามที่เกิดขึ้นคือ เหตุใดนักเลือกตั้งจากทุกมุ้งทุกค่ายจึงออกมาเคลื่อนไหวในทำนองดูด-ดึง-ดัน "ทหารแก่" เข้าร่วมอุดมการณ์?

เหตุผลหนึ่ง

เกิดจากความต้องการหลักประกัน เรื่องความปลอดภัยของชีวิตในยุคที่ "ท็อปบู๊ตครองเมือง" หลังมีตัวอย่างให้เห็นจากการฆ่าล้างโคตร "เครือข่ายทักษิณ" ดังนั้น การเป็นมิตรเทียมกับทหารจึงย่อมดีกว่าเป็นศัตรูแม้เพียงชั่วข้ามคืน

อีกเหตุผลหนึ่งคือ

พรรคการเมืองที่ "ขั้วอำนาจใหม่" ไหลเข้าไปอยู่มีแนวโน้มจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยมีอีก 2 พรรคร่วมเป็นพันธมิตร ตามแผน "บันได 3 ขั้นของ คมช." ซึ่งโดยธรรมชาติของคนการเมืองย่อมไม่อยากตกที่นั่งฝ่ายค้านอยู่แล้ว

และอีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญที่สุดหนีไม่พ้น

ความอุดมสมบูรณ์ของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนักการเมือง ซึ่งนาทีนี้เชื่อว่าไม่มีนักการเมืองหน้าไหนจะมี "เงินคงคลัง" มากเท่า "สนธิ แอนด์ เดอะ แก๊ง" อีกแล้ว นั่นหมายความว่าหาก "พล.อ.สนธิ" ประกาศร่วมสังฆกรรมกับพรรคการเมืองใด ท่อน้ำเลี้ยงย่อมไหลตามมาเป็นสาย

เหล่านี้เป็นเงื่อนไขสำคัญ

ที่ทำให้ก้อนการเมืองรุมเกาะกระแส "สนธิติดลมบน" โดยหวังจะกลับมากุมอำนาจ-เจาะขุมทรัพย์ใหม่-ได้เกราะกำบังระยะยาว จึงไม่แปลกอะไรหากนักการเมืองแถวหน้าจะออกมาเดินเกมทั้งบนดิน-ใต้ดินเพื่อตัดราคากลุ่มการเมืองอื่น พร้อมถือโอกาสปั่นราคาพลพรรคของตนเพื่อให้ "นักการเมืองสีเขียว" ชายตามอง

และดูเหมือน "นักการเมืองหน้าใหม่" จะตระหนักและกังวลกับการต่อรองกับ "พวกเขี้ยวลากดิน" เหมือนกัน ไม่เช่นนั้นคงไม่ส่ง "นักต่อรองในเครื่องแบบ" อย่าง "พล.อ.วินัย ภัททิยกุล" ปลัดกระทรวงกลาโหม และเลขาธิการ คมช. ซึ่งถือเป็น "ซี้ย่ำปึ้ก" ออกไปรับข้อเสนอจากพรรคการเมืองและกลุ่มการเมืองต่างๆ พร้อมดำเนินการต่อรองตามเงื่อนไขลับที่ตั้งไว้

โดยเป้าหมายลำดับแรกคือ

การนั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรคการเมืองหลังถอดเครื่องแบบ เพราะ "พล.อ. สนธิ" เคยพูดไว้ว่า "คนเป็น ผบ.ทบ.คงไม่ไปเป็นลูกพรรค"ขณะที่เป้าหมายลำดับถัดไปคือ การทำให้ "นายกฯเงา" ได้นั่งเก้าอี้ "นายกฯจริง" สมตั้งใจ

ขณะนี้เงื่อนไขของ "นักการเมืองสีเขียว"

จึงเป็นตัวแปรสำคัญที่คอยกำหนดและกำกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมือง โดยเฉพาะกลุ่มการเมืองที่แตกออกจากไทยรักไทย ท่ามกลางข้อครหาเรื่อง "ใบสั่งสีเขียว" ดังจะเห็นได้จากการที่ก้อนการเมืองไม่กล้าประกาศชื่อหัวหน้าพรรคได้อย่างเต็มปากทั้งที่กติกาต่างๆ ออกมาชัดเจนแล้ว

อย่างไรก็ตาม
 
เชื่อว่า "พล.อ.สนธิ" ได้เตรียมคำตอบสุดท้ายไว้แล้ว เพียงแต่รอจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการกางกระดาษคำตอบ โดยระหว่างนี้ก็เดินเกมแทงกั๊กไปเรื่อย เพื่อเช็คเรตติ้งก่อนลงสนามจริง พร้อมวางแนวร่วมในการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่

ยิ่งใกล้วันทิ้งเก้าอี้ ผบ.ทบ.ราคาของ "นักการเมืองชั้นนายพล" ก็ยิ่งพุ่งสูงขึ้น!!!

เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์