ปฏิทินการเมืองสุดร้อน นับถอยหลัง6เดือนอันตราย

ความไม่แน่นอนทางการเมืองในช่วงนี้


โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการคันคอระหว่างรัฐบาลคอหอยและคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ลูกกระเดือกนั้น ยังคงปรากฏเป็นข่าวฮือฮาได้เสมอ

ไม่นับกระแสข่าวลือที่มักจะเกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่วงที่ผ่านมาว่า พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกฯ อาจไขก๊อก โดยมี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธาน คมช. เสียบแทน

ในตำแหน่ง "หัวหน้ารัฐบาลแห่งชาติ"!!!

รวมถึงกระแสข่าวการปฏิวัติซ้ำ-ปฏิวัติซ้อน ที่ผลุบๆ โผล่ๆ จนชาวบ้านและนักลงทุนหายใจไม่ทั่วท้อง


ล่าสุด "บิ๊กแอ้ด" และ "บิ๊กบัง" ก็ออกโรงสยบข่าว


เป็นเสียงเดียวกันอีกครั้งแล้วว่า "ไม่จริง"

แต่ยังมิวายทิ้งประเด็นให้สังคมขบคิดต่อ จากคำพูดที่ว่า "อนาคต ยังไม่แน่"

เพียงเท่านี้ ก็ทำให้นักวิเคราะห์การเมืองตีความ อากัปกริยาและคำพูดของ "คอหอย-ลูกกระเดือก" คู่นี้ไปต่างๆ นานา อีกหลายยก

เพราะการเมืองไทยยามนี้ ยืนอยู่ในภาวะที่เรียกได้ว่า เกือบจะไร้เสถียรภาพยิ่งนัก จนส่งแรงกระเพื่อมไปยังองคาพยพอื่นๆ

ฉะนั้น บรรดาคีย์แมนในวงการต่างๆ ควรที่จะแสดงความมั่นใจให้ทุกฝ่ายไว้วางใจ ให้ทำหน้าที่ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ว่าจะไม่เกิดการพลิกล็อก

ขณะเดียวกัน ปรากฏการณ์อื่นๆ ตามปฏิทินการเมืองนั้น ก็อาจจะเป็นตัวแปรและอัตราเร่งที่ทำให้การเมืองไทยในอนาคตอันใกล้เกิดภาวะพลิกผัน

เริ่มตั้งแต่กระแสข่าว "ปรับ ครม." ภายในวันศุกร์นี้ ถึง 3 ตำแหน่ง!!!

สอดรับกับ "การบ้าน" ที่ "บิ๊กแอ้ด" ให้รัฐมนตรีทุกคนทำแผนงานปรับปรุงการทำงานมาส่งในการประชุม ครม.หลังวันสงกรานต์


หลังจากโพลล์ล่าสุดของ "กรุงเทพโพลล์" ระบุว่า


การทำงาน 6 เดือนของ ครม.ขิงแก่นั้น ทำคะแนนได้เพียง 4.57 จาก 10 คะแนนเต็ม

วันเดียวกัน คือ 18 เรื่อยไปจนถึง 27 เมษายนนี้ ตามข้อมูลที่ ชนาพัทธ์ ณ นคร แกนนำกลุ่มเตมูจินอ้าง ก็จะเกิดรายการ "เสี่ยสั่งลุย" ขึ้น

นั่นคือ ขั้วอำนาจเก่าใช้กระสุนจ้างมวลชน หัวละ 500 บาท จากทั่วประเทศเข้ามาชุมนุมทางการเมืองในพื้นที่ กทม.

โดยมีเป้าหมายขย่มบัลลังก์ "รัฐบาล-คมช." โดยเฉพาะ และหวังผลชุมนุมลากยาวในช่วงเดือนพฤษภาคม

ถัดไปในวันที่ 19 เมษายน "นายกฯ สุรยุทธ์" จะลงพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อเยี่ยมประชาชนและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ ท่ามกลางสถานการณ์ร้อนในพื้นที่

วันที่ 26 เมษายน ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ 299 มาตรา ก็จะเผยโฉมให้สังคมรับรู้ และนำไปพิจารณา

ขณะที่กลุ่ม "พีทีวี" ก็ประกาศจะชุมนุมในวันที่ 27 เมษายน ณ ท้องสนามหลวง เพื่อสาวไส้ความไม่โปร่งใสของ คมช.

เลยไปถึงเดือนหน้า ในช่วงสัปดาห์ที่สองของเดือนพฤษภาคม จะมีการสรุปยอดตัวเลขอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไตรมาสแรกออกมา เพื่อสะท้อนสภาวะที่แท้จริงของสภาพคล่องการเงิน การคลัง และการลงทุนในเมืองไทยว่า ฟื้น หรือ ฟุบ


และวันที่ 30 พฤษภาคม นี่แหละที่จะเป็นวันสำคัญที่สุด


ที่ประวัติศาสตร์การเมืองต้องจารึกเอาไว้

เป็นวันชี้ชะตา 5 พรรคการเมือง ที่เกี่ยวข้องกับการทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549

เป้าใหญ่อยู่ที่ "พรรคประชาธิปัตย์" และ "ไทยรักไทย" ที่ต้องลุ้นว่าจะรอดตาย หรือโดนยุบพรรค

ผลคำตัดสินที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะออกหัว หรือออกก้อย ล้วนสั่นสะเทือนวงการด้วยกันทั้งนั้น

แต่จะหนักหนาสาหัสมากกว่า หากว่าผลที่ออกมา มีพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่ง หรือทั้งสองพรรค "ถูกยุบ"!!!

เพราะฉะนั้น ถ้าดูจากปฏิทินการเมืองที่จะเกิดขึ้นในรอบ 2 เดือนข้างหน้า

เค้าลางความวุ่นวายตามการวิเคราะห์ของ "คีย์แมน คมช." ที่มองว่า เดือนพฤษภาคม-มิถุนายน จะมีทั้งคลื่นบนน้ำและคลื่นใต้น้ำออกมาหลายระลอก

จึงไม่น่าจะผิดเพี้ยนเท่าไรนัก...

...บางฝ่ายออกมาเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยตามเจตนาอันบริสุทธิ์

...บางฝ่ายอาจใช้เหตุนี้เพื่อสร้างสถานการณ์ที่ตัวเองต้องการ เพื่อยั่วยุฝ่ายที่มีอำนาจให้เกิดอารมณ์


หากฝ่ายความมั่นคง สามารถผ่านช่วงเวลาดังกล่าวไปได้


โดยปราศจากการใช้กำลังสลายการต่อต้าน ทุกฝ่ายน่าจะไปถึงฝั่งฝัน

ถัดไปอีกราวสามเดือน วันที่ 3 กันยายน จะเป็นวันลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ 2550

สิ่งที่น่าพิจารณาจากประเด็นนี้ คือ การวัดกระแสมวลชนในช่วงที่สังคมได้อ่านร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ตามเวทีประชาพิจารณ์ต่างๆ นั้น

ถึงตอนนั้นก็คงจะได้รู้กันว่า...ผ่าน หรือไม่ผ่าน???

จะเป็นตัวสะท้อนให้เห็นว่า สังคมยอมรับรัฐธรรมนูญใหม่ หรือไม่ อย่างไร

หาก"ไม่ผ่าน" ก็ต้องลุ้นระทึกกันต่อว่า "คมช." จะหยิบรัฐธรรมนูญฉบับใดมาปัดฝุ่นแก้ไขให้โดนใจมวลชน

ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันนั้น การทำงานของ "คตส." ที่ไล่เช็กบิลการทุจริตรัฐบาลไทยรักไทย ก็ใกล้จะถึงบทสรุปและสิ้นสุดการทำงาน 14 โครงการ

ต้องลุ้นกันอีกยกว่า สุดท้ายแล้วจะสามารถเอาผิดนักการเมืองขี้ฉ้อได้สักกี่ชีวิต

ที่สำคัญ...ผลจากการทำงานของ คตส. จะเป็นบทพิสูจน์ข้อกล่าวหา 1 ใน 4 ข้อ ที่ คมช.ตีตราบาปให้รัฐบาลไทยรักไทยต้องหลุดออกจากขั้วอำนาจ


ด้วยเหตุผลนี้จึงต้องมีผลงานให้ประชาชนประทับใจมากที่สุด


และเพื่อสลายระบอบทักษิณาธิปไตยและทักษิโณมิกส์ออกไปจากความทรงจำของมวลชน

วันที่ 16 หรือ 23 ธันวาคม ตามกำหนดเดิมจะเป็นวันเลือกตั้ง ส.ส.ตามรัฐธรรมนูญปี 2550 เพื่อกลับคืนสู่ห้วงเวลาประชาธิปไตยเต็มใบ

ปรากฏการณ์เหล่านี้ มันสอดรับกันยิ่งนัก และไม่สามารถแยกประเด็นใดประเด็นหนึ่งออกไปได้เลย

หากบรรดากุนซือของ ครม.และ คมช.จะแก้เกมรายวัน รวมทั้งการวางแผนการทำงานในระยะเวลาที่เหลืออย่างไร เพื่อดูแลไม่ให้ประเด็นเหล่านั้นลุกลาม และง่ายต่อการควบคุม

เพราะการกระทำใดๆ ของฝ่ายรัฐนั้น ย่อมเป็นเป้าสายตาที่ "ฝ่ายตรงข้าม" พร้อมจ้องจับผิดและขยายผลได้ทุกวินาที



ขอขอบคุณ : ข้อมูลข่าวที่มีคุณภาพ จาก หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์