สงครามผ่านโลกไซเบอร์ เกมการเมืองโฉมใหม่ไร้พรมแดน

ประกาศสงครามผ่าน"โลกไซเบอร์" เกมการเมืองโฉมใหม่"ไร้พรมแดน"


ดูเหมือนจะช้าไปหลายก้าว สำหรับการเกาะติดความเคลื่อนไหวฝ่ายตรงกันข้ามผ่าน "โลกไซเบอร์ไร้พรมแดน" ของภาครัฐ และ คมช.

แม้ด้านหนึ่งดูเหมือนจะรู้ทันและจับทางถูก แต่ก็ไม่อาจขัดขวางกระบวนการที่ตระเตรียมไว้อย่างเป็นระบบได้อย่างชะงัด

เหตุเพราะบุคคลเหล่านั้น ล้วนเป็น "กุนซือสมองเพชร" ของนายใหญ่แทบทั้งสิ้น

หนำซ้ำยังบวกด้วย "ประสบการณ์" แก่กล้า และ "คอนเนคชั่น" ระดับนานาชาติอยู่ในระดับเอกอุ หาตัวจับยาก


ความศิวิไลซ์ในโลกไซเบอร์นั้น คนเหล่านี้ต่างลิ้มรสมานาน


ก่อนที่คนทั้งประเทศจะตามทันกระแสตื่นตัวที่ว่านั่นแล้วด้วยซ้ำ

เมื่อจับทางถูก ก็ย่อมกำหนดทิศทางได้

คนกำหนดเกม มักจะเป็นผู้ชนะเสมอ!!!

นี่คือปรัชญาของ "นายใหญ่" และ "กุนซือผู้ใกล้ชิด" ที่ใช้ได้ผลมาตลอดเวลาที่ผ่านมา และก็ยังใช้ได้ผลจนถึงวันนี้

ผลก็คือทั้ง "ภาครัฐ-คมช.-ภาคประชาชน" ต้องเต้นตามการกำหนดเกมผ่านโลกไซเบอร์กันจ้าละหวั่น

ปิดตรงนั้น โผล่ตรงนี้ จึงเกิดขึ้นถี่ยิบชนิดไล่ปิด ไล่บล็อกกันไม่ทัน

สิ่งที่น่าสังเกตถึงความอ่อนประสบการณ์ของภาครัฐอย่างเห็นได้ชัด คือ ความจัดเจนในการแก้เกมทางการเมือง

บวกกับความ "รู้ไม่เท่าทัน" เทคโนโลยีที่มีทั้งคุณอนันต์และโทษมหันต์

เห็นได้ชัด ก็คือ ขณะที่ภาครัฐกำลังสาละวนกับการระงับช่องทางการสื่อสารของฝ่ายตรงกันข้าม ทั้งที่ผ่านทางสื่อและเวทีเปิด


แต่กว่าจะเฉลียวใจถึงยุทธวิธีคู่ขนาน


ด้วยการบุกโจมตีผ่าน "สื่อออนไลน์" อันเป็นยุทธวิธีใหม่ในโลกการสื่อสารไร้พรมแดนก็สายไปเสียแล้ว

กว่าจะรู้ว่าเป้าหมายของขบวนการที่เกิดขึ้น ไม่ได้ใส่ใจให้น้ำหนักต่อความกระหายใคร่รู้ของคนในประเทศมากไปกว่าความต้องการสื่อสารต่อคนทั้งโลก มันก็สายไปแล้วอีกเหมือนกัน

ตัวอย่างเกิดขึ้นมาแล้ว แต่ก็ยังพลาด!!!

ย้อนหลังไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน กรณีเวบไซต์ "มานุษยะดอทคอม" ก็มีกระบวนการจดทะเบียนเวบไซต์มาจากต่างประเทศ

เหตุเพราะผู้ดำเนินการรู้ดีว่า หากจดทะเบียนในเมืองไทย โอกาสถูกปิด หรือถูกบล็อกเป็นไปได้สูง

อีกทั้งการจดทะเบียนต่างประเทศยังหาตัวจับได้ยาก

นอกจากนั้นการจะติดต่อประสานงานในระดับประเทศเพื่อให้มีการปิดเวบไซต์ก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยาก และโอกาสจะทำอย่างนั้นก็ไม่ง่าย

เหตุเพราะทั่วโลกเขาถือกันว่า การสื่อสารและการแสดงความคิดเห็นถือเป็นสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน

นี่แหละคือ "คุณอนันต์" และ "โทษมหันต์" ของข้อมูลข่าวสารในโลกไซเบอร์

กรณี "มานุษยะดอทคอม" นั้น กว่าคนไทยในประเทศจะรับรู้ว่ามีกระบวนการสร้างเวบไซต์โจมตีเบื้องสูง ต่างประเทศต่างก็ได้อ่านกันหมดแล้ว


จาก "มานุษยะดอทคอม" ที่ปรากฏเป็นข่าวขึ้นในสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร


ก็มาถึงเวบไซต์ "ไฮ-ทักษิณดอทเน็ต" ที่เปิดตัวภายหลังเหตุการณ์ 19 กันยา 49 ไม่นาน

กระบวนการนั้นเรียกได้ว่า แทบจะย่ำรอยเดียวกัน

นอกจากเป็นเวบไซต์เฉพาะกิจของ "กลุ่มคนรักทักษิณ" แล้ว ยังแฝงข้อความโจมตี และหมิ่นประมาทบุคคลสำคัญของประเทศ

รวมถึงหมิ่นเหม่ต่อการล่วงละเมิดพระราชอำนาจ ด้วยการจงใจวิพากษ์วิจารณ์ "ประธานองคมนตรี"

รูปแบบเดียวกันหากแต่เปลี่ยนประเทศที่จดทะเบียน คือ ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และมีทีมงานจัดหาบทความและเนื้อหาอยู่ในเมืองไทย

กว่ากระทรวงไอซีทีจะไหวตัวและบล็อกเวบไซต์ดังกล่าว ก็กินเวลาเป็นนาน

หนำซ้ำยังจับมือใครดมไม่ได้อีกต่างหาก แม้จะพอรู้เลาๆ ก็ตาม

การก้าวไปอีกขั้นของทีม "กุนซือสมองเพชร" ต่อกรณีนี้ ก็คือ "เมื่อปิดปุ๊บ ก็เปิดใหม่ปั๊บ"

จาก "ดอทเน็ต" ก็เปลี่ยนเป็น "ดอทโออาร์จี" ภายในเวลาไม่นาน

ผลก็คือ กลับมาโลดแล่นบนหน้าจอใหม่ได้อีกรอบ!!!


แต่กรณีนี้มีวิวัฒนาการก้าวไปอีกขั้น


และสะท้อนถึงความช่ำชองในการซ่อนกลผ่านโลกไซเบอร์

บทเรียนจาก "มานุษยะดอทคอม" ที่มีการติดต่อประสานงานจดสามารถปิดได้ในที่สุด ถือเป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้ "กุนซือสมองเพชร" เรียนรู้ที่จะโยกย้ายสถานที่จดทะเบียนไปอยู่ในดินแดนที่ได้ชื่อว่า "ประชาธิปไตยจ๋า" สุดๆ อย่างอเมริกา

อีกกรณีที่เห็นได้ชัด ก็คือ การส่งคลิปวิดีโอหมิ่นเบื้องสูงผ่านเวบไซต์ "ยูทูบดอทคอม" ซึ่งเป็นเวบไซต์ที่จดทะเบียนในสหรัฐอเมริกาเหมือนกัน

กรณีนี้กระทรวงไอซีทีทำได้อย่างมากที่สุดก็แค่บล็อก

ขนาดขอความร่วมมือเพียงแค่ถอดคลิปวิดีโอ ทาง "ยูทูบดอทคอม" ก็ยังทำให้ไม่ได้

ด้วยเหตุผลที่ง่ายมาก คือ "เป็นการปิดกั้นสิทธิเสรีภาพ"

ผลที่เกิดขึ้น ก็คือ ในประเทศไทยดูไม่ได้ แต่ต่างประเทศเห็นกันโจ๋งครึ่ม!!

หนำซ้ำจับมือใครดมไม่ได้เหมือนเคย

ยุทธวิธีตีข่าวผ่านโลกไซเบอร์ของ "กุนซือสมองเพชร" นั้น จึงไม่ได้หวังผลเพียงแค่ให้คนในประเทศรับรู้เท่านั้น

หากแต่อยู่ที่กระบวนการ "ลดทอนความน่าเชื่อถือ" ในสายตาต่างประเทศ


ส่วนจะหวังผล "เพื่อใคร" นั้น คงต่อจิ๊กซอว์กันได้ไม่ยาก


อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่ากรณีจะอย่างนี้ มันก็ขึ้นอยู่กับ "กำลังภายใน" ด้วยเหมือนกัน

เหมือนอย่างที่ สิทธิชัย โภไคยอุดม รมว.ไอซีที ที่ยอมรับว่า กรณีการขอร้องอย่างที่ว่านี้มันขึ้นอยู่กับความยิ่งใหญ่ของประเทศนั้นๆ ด้วย

"พวกเวบไซต์ยูทูบ กูเกิล อย่าทำตัวเป็นมือถือสากปากถือศีล อะไรที่เป็นประโยชน์ทางธุรกิจของตนเองก็เอาหมด รังแกประเทศที่เล็กกว่า อย่างประเทศจีน ขอให้ปิดก็รีบปิด ถ้าของไทยเป็นมหาอำนาจบ้าง เวบไซต์พวกนี้ก็คงเกรงใจ"

ประเด็นหมิ่นเบื้องสูงผ่าน "โลกไซเบอร์" คงจะเป็นกระแสที่จุดติดอยู่ในใจของคนไทยไปอีกนาน

และอาจเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้รัฐบาลไทยต้องออกแรงอย่างเต็มที่ ก่อนที่สถานการณ์จะบานปลาย


แต่เหนือสิ่งอื่นใด ก็ต้องไม่ลืมกระชากหน้ากากขบวนการจ้องทำลายความมั่นคงของประเทศออกมาโดยเร็ว!!!



ขอขอบคุณ : ข้อมูลข่าวที่มีคุณภาพ จาก หนังสือพิมพ์คมชัดลึก


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์