มาร์ค ติง ปู คิดคืนเงิน 5 หมื่นล้านให้ ทักษิณ

“มาร์ค” ย้อนถาม "นายกฯปู" ประเทศร่ำรวยมากถึงขนาดนำเงิน 5 หมื่นล้านคืนให้คนทุจริตหรือ ชี้ไม่เป็นธรรมกับคนไทย เตรียมยื่นศาล รธน.ตีความ ยันไม่ขอรับอานิสงค์จาก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอย

เมื่อวันที่ 20 ต.ค. เวลา 10.00 น. ที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ เขตสายไหม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

ให้สัมภาษณ์ถึงร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม มาตรา 3 ที่กรรมาธิการเสียงข้างมาก แก้ไขให้นิรโทษกรรมแบบสุดซอย ว่า หากกรรมาธิการฯ จะเปลี่ยนกลับไปกลับมา หรือไปอยู่ในรัฐสภาก็ไม่แปลกใจ เพราะเสียงข้างมากมักจะใช้วิธีดังกล่าวอยู่แล้ว เห็นได้จากการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ที่ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ลงคะแนนทีละวรรค ซึ่งสมาชิกสภาฯ ส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าขณะนี้กำลังลงมติอย่างไร ทั้งนี้เชื่อว่าร่างกฎหมายนิรโทษกรรมบางประเด็นอาจมีการแก้ไขอีก แต่เป้าหมายของรัฐบาลก็ยังคงเดิมคือต้องการนิรโทษกรรมพรรคพวกตัวเอง นิรโทษกรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีที่ทุจริต


มาร์ค ติง ปู คิดคืนเงิน 5 หมื่นล้านให้ ทักษิณ

เมื่อถามว่าการที่นายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ระบุว่า การนิรโทษฯ ครั้งนี้นอกจาก พ.ต.ท.ทักษิณจะได้ประโยชน์แล้ว
 
นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้ประโยชน์เช่นกัน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ยืนยันว่าไม่ประสงค์จะได้ประโยชน์อะไรทั้งสิ้น เพราะไม่ได้ทำผิด และพร้อมจะต่อสู้คดีในศาล อีกทั้งเชื่อว่าจะมีคนสงวนคำแปรญัตติที่จะไม่ให้ตนและนายสุเทพได้ประโยชน์อยู่แล้ว อย่างไรก็ตามได้ยืนยันกับกรรมาธิการฯ ชัดเจนแล้วว่า ใครทำผิดกฎหมายก็ต้องรับผิดตามกฎหมาย ยกเว้นประชาชนที่ใช้สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานแล้วไปทำผิดกฎหมายในช่วงนั้น แต่ต้องไม่ใช่คดีที่เกี่ยวกับร่างกาย ทรัพย์สิน ดังนั้นรัฐบาลไม่ต้องมาคิดถึงตน แต่ขอให้เอาความถูกต้องเป็นหลัก

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่าการนิรโทษกรรมยกเข่งขัดกับหลักการที่รับไปในวาระแรกหรือไม่

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การทุจริตขัดอยู่แล้ว และชัดเจนว่าเป็นกฎหมายนิรโทษกรรมประชาชนที่เกี่ยวเนื่องการชุมนุมทางการเมืองและการแสดงออกทางการเมือง โดยมองไม่เห็นว่าการทุจริตจะเกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง และไม่เห็นว่าการทุจริตจะเป็นการแสดงออกทางการเมือง ซึ่งขัดกับหลักการโดยตรง เพียงแต่ว่าประธานกรรมาธิการฯ และกรรมาธิการฯเสียงข้างมาก บอกว่าไม่ขัด

“กฎหมายฉบับนี้ถือเป็นกฎหมายการเงิน และเป็นภาระผูกพันทางการเงินอย่างชัดเจน และจำนวนเงิน 5 หมื่นล้านบาทที่ประชาชนต้องเสีย แต่คนทุจริตได้ประโยชน์จากกฎหมายฉบับนี้ ทั้งที่กฎหมายเขียนชัดเจนว่าการได้รับนิรโทษกรรมต้องเป็นการกระทำที่ผิด โดยร่างกฎหมาย อ้างว่าถึงกระทำผิด แต่ถ้า คตส.กล่าวหา ก็ให้ได้รับนิรโทษกรรม เป็นการหยิบเงื่อนไขคตส.ขึ้นมา ซึ่งปกติค่าใช้จ่ายใดที่เป็นภาระผูกพันทางกฎหมาย ก็จะห้ามแปรญัตติ อยากถาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ว่า เห็นประเทศร่ำรวยขนาดไหนที่จะนำเงิน 5 หมื่นล้านบาทไปคืน พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ทำผิดและทุจริต เพียงเพราะถูก คตส. กล่าวหาเลยต้องยกเงินให้ อยากถามว่าเงินจำนวนนี้เป็นธรรมกับประชาชนหรือไม่” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

เมื่อถามว่าเงิน 5 หมื่นล้านบาทถือว่าผิดกฎหมายหรือไม่

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ต้องดูร่างสุดท้ายทั้งหมด และทางพรรคประชาธิปัตย์จะรวบรวมกฎหมายเพื่อจะโต้แย้งไปยังศาลรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว และถ้าเป็นกฎหมายการเงิน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็จะต้องเซ็นต์ชื่อรับรอง แต่ขณะนี้เป็นอำนาจของประธานและที่ประชุมร่วมของกรรมาธิการฯ.ที่จะต้องพิจารณา อย่างไรก็ตามอยากให้รัฐบาลพิจารณาอีกครั้งว่า การจ่ายเงินจำนวน 5 หมื่นล้านบาทเป็นสิ่งที่เหมาะสมแล้วหรือไม่ เมื่อถามว่าหากส่งเรื่องนี้ให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ แล้วปรากฏว่ากฎหมายครั้งนี้เป็นกฎหมายการเงิน นายกฯ จะต้องรับผิดชอบอย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ถ้าเป็นกฎหมายการเงินนายกฯ ต้องเซ็นต์ชื่อรับรอง ส่วนความรับผิดชอบนั้นจะไปอยู่ที่ประธานสภา

ทั้งนี้อยากให้นายกฯ ทักท้วงเรื่องดังกล่าวไปที่สภาฯ ว่าสภาฯ กำลังออกกฎหมายที่ผูกมัดรัฐบาลให้ต้องใช้จ่ายเงินเป็นจำนวนมาก
 
แต่หากนายกฯ ไม่แย้ง แล้วบอกว่าเป็นเรื่องของสภาฯ ก็ต้องดูอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งทางพรรคจะชี้แจงให้นายกฯ ทราบอยู่แล้ว แต่ก็ต้องดูแต่ละขั้นตอนด้วย สำหรับเรื่องการเป่านกหวีดนั้นต้องขึ้นอยู่กับนายสุเทพ ซึ่งจะพิจารณาไม่เกินวาระ 3 แต่ก็ต้องมีเงื่อนไขอื่นๆ เข้ามาด้วย

ต่อข้อถามว่าคนบางส่วนเริ่มไม่มั่นใจในพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่มีโลเล ก็ต่อสู้โดยเต็มที่ จุดยื่นไม่เคยเปลี่ยน 

และสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไม่เข้าใจว่าทำไมรัฐบาลถึงอยากให้ประเทศเข้าสู่ความขัดแย้ง ทั้งที่มีหลายเรื่องที่ควรทำ อาทิ การแก้ไขปัญหาปากท้องประชาชน น้ำท่วม ของแพง แก้ปัญหาการศึกษา แต่กลับมุ่งช่วยคนโกง ช่วยคนผิด และรื้อรัฐธรรมนูญ เมื่อถามว่ารัฐบาลมั่นใจในกองกำลังตำรวจที่ขณะนี้กลายเป็นกองกำลังส่วนตัวของรัฐบาลไปแล้ว นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า มั่นใจอยู่แล้ว แต่ก็ขอเตือนไว้ว่าคนที่มั่นใจแบบนี้คิดผิดมาหลายรอบแล้ว ส่วนการเดินหน้าครั้งนี้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงประเทศหรือไม่นั้น คิดว่าเน้นผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นหลัก ส่วนเปลี่ยนแปลงประเทศนั้นไม่ทราบว่าเป็นเป้าหมายหลักหรือเป้าหมายรองของรัฐบาล เพียงแต่รัฐบาลไม่สนใจว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับสังคมและประเทศชาติ ทั้งนี้ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและข้าราชการควรปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา โดยคำนึงถึงวิชาชีพเป็นหลัก อย่างไรก็ตามขอเป็นกำลังใจให้กับข้าราชการที่ทำหน้าที่อย่างสุจริต.



เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์