10 อรหันต์ ผ่านด่านศาลฎีกา ชิงดำกกต.

"สรรหาบุคคลที่เหมาะสม"


หลังจากที่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาต้องรับหน้าที่สรรหาบุคคลที่เหมาะสมกับตำแหน่งกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) 10 คน เพื่อส่งให้ที่ประชุมวุฒิสภาพิจารณาคัดเลือกเหลือ 5 คน ไปทำหน้าที่จัดการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 15 ต.ค.นี้ ล่าสุด ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้คัดเลือกบุคคลทั้ง 10 คนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


"ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเริ่มการสรรหา"


ผู้สื่อข่าวรายงานจากศาลฎีกาว่า เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 10 ส.ค.นี้ ได้มีการประชุมใหญ่ผู้พิพากษาศาลฎีกา 86 คน ตามหนังสือเชิญของนายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ประธานศาลฎีกา เพื่อดำเนินการคัดเลือกผู้สมควรได้รับการสรรหาเป็นคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ชุดใหม่ 10 คน เพื่อส่งให้ที่ประชุมวุฒิสภาคัดเลือกให้เหลือ 5 คน ตามรัฐธรรมนูญ

โดยเมื่อถึงเวลาดังกล่าวบรรดาผู้พิพากษาศาลฎีกาได้ทยอยเดินทางมาร่วมประชุมกันอย่างพร้อมเพรียง โดยเฉพาะนายพิทยา บุญชู ผู้พิพากษาศาลฎีกา ที่ประสบอุบัติเหตุและอยู่ในระหว่างพักฟื้นรักษาตัว ก็ยังเดินทางมาร่วมประชุมโดยใช้ไม้เท้า และอีกมือต้องถือถุงปัสสาวะ ทำให้เพื่อนผู้พิพากษาศาลฎีกาต้องช่วยกันพยุงไปยังที่นั่ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จนกระทั่งเวลา 09.45 น. การ ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจึงเริ่มขึ้น โดยตรงกลางห้องประชุม มีการจัดคูหาลงคะแนนแบบหันหลังเข้าข้างฝา พร้อมกล่องลงคะแนนและกระดานนับคะแนน 2 กระดานไว้พร้อม


"ผู้พิพากษาเข้าร่วมประชุม 83 คน "


ภายหลังการประชุมลับนาน 4 ชั่วโมง นายวิรัช ชินวินิจกุล แถลงว่า การประชุมใหญ่ศาลฎีกาวันนี้มีผู้พิพากษาศาลฎีกาเข้าร่วมประชุม 83 คน ขาดไป 3 คน คือนายปราโมทย์ พิพัทธ์ปราโมทย์ ไปราชการต่างประเทศ นายมนตรี ยอดปัญญา ติดภารกิจสำคัญ และนายนินนาท สาครรัตน์ เข้ารับการผ่าตัดหัวใจ โดยการประชุมในรอบแรกช่วงเช้า เป็นการประชุมคัดเลือก กกต.ตามมาตรา 138 (2)

มีผู้เสนอตัวเข้ารับการคัดเลือก 34 คน ดังนั้น ผู้พิพากษาที่มีสิทธิ์ลงคะแนนต้องกาให้ครบ 5 คน รอบแรกได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น โดยจะคัดคนที่ได้คะแนนต่ำสุดออกให้เหลือ 30 คน จากนั้นให้ลงคะแนนอีกรอบให้เหลือ 10 คนแล้วกรองอีกครั้งให้เหลือ 5 คน โดยการลงคะแนนทุกครั้งเป็น ดุลพินิจอิสระของผู้พิพากษาศาลฎีกา ไม่มีการแทรกแซงจากภายนอก แต่ละท่านมีความรู้และประสบการณ์มานาน


วิชา ได้ 57 คะแนนสูงสุดรอบเช้า


นายวิรัชกล่าวว่า ผลการลงคะแนนในรอบเช้าผ่านไปด้วยดี โดยไม่มีการอภิปรายเรื่องคุณสมบัติ ไม่มีการถอนชื่อผู้เข้ารับการสรรหาแต่อย่างใด มีการลงคะแนนครบ 5 คน เรียงคะแนนจากมากไปหาน้อยได้แก่ นายวิชา มหาคุณ ประธานแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวในศาลฎีกา ได้สูงสุดคือ 57 คะแนน ส่วนที่รองๆลงมาคือนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานแผนกคดีแรงงานในศาลฎีกา ได้ 56 คะแนน

นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลฎีกา ได้ 47 คะแนน นายอุดม เฟืองฟุ้ง ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้ 47 คะแนน และนายสมชัย จึงประเสริฐ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา รอบแรกได้ 42 คะแนนไม่ถึงกึ่งหนึ่งคือ 44 คะแนน จึงมีการลงคะแนนใหม่ในรอบสองได้ 45 คะแนน


แก้วสรร-นาม ติดโผกับเขาด้วย


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมใหญ่ศาลฎีกาในรอบบ่ายเริ่มขึ้นเมื่อเวลา 13.30 น. โดยใช้เวลาประชุมกว่า 4 ชั่วโมง นายวิรัชจึงออกมาแถลงข่าวอีกครั้งว่า การประชุมเพื่อสรรหา กกต.ชุดใหม่ตามมาตรา 138 (3) มีผู้พิพากษาเข้าประชุมครบ เมื่อลงคะแนนลับแล้วมีมติดังนี้ 1.นายประพันธ์ นัยโกวิท รองอัยการสูงสุด ได้ 59 คะแนน 2.นายแก้วสรร อติโพธิ อดีต ส.ว. ได้ 55 คะแนน 3.นายสุเมธ อุปนิสากร ผู้พิพากษาอาวุโส ในศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้ 48 คะแนน

4. นางสดศรี สัตยธรรม ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา รอบแรกได้ 39 เลือกใหม่ได้ 50 คะแนน 5.นายนาม ยิ้มแย้ม อดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 และประธานอนุกรรมการพิจารณาคัดค้านการเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง เลือกรอบแรก 37 คะแนน เลือกใหม่ได้ 50 คะแนน


ส่งรายชื่อให้ประธานวุฒิฯ 11 ส.ค.


นายวิรัชกล่าวต่อว่า ได้รวบรวมผู้ที่ได้รับการสรรหาทั้ง 10 คน เสนอต่อนายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ประธานศาลฎีกา ทราบ และได้ลงนามเป็นหนังสือ ส่งไปยังประธานวุฒิสภาอย่างช้า คือเช้าวันที่ 11 ส.ค.นี้ บัดนี้หน้าที่ของศาลฎีกาได้เสร็จสิ้นลงเรียบร้อยแล้ว ต่อไปเป็นหน้าที่ของวุฒิสมาชิกทุกท่าน ผู้สื่อข่าวถามว่ามีข้อเสนอแนะฝากหรือเห็นสิ่งใดที่คลางใจใน ส.ว.ชุดนี้หรือไม่ นายวิรัชตอบว่า ทุกท่านก็ล้วนเป็นผู้หลักผู้ใหญ่กันแล้ว จะไม่ขอพูดอะไร

แต่เชื่อว่าท่านคงทำหน้าที่ของท่านได้ดีที่สุด เมื่อถามต่อว่าจากนี้ภารกิจของประมุขทั้ง 3 ศาลจะมีอะไรต่อไปหรือไม่ นายวิรัชตอบว่า ขณะนี้ยังไม่มี แต่จะมีหรือไม่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ผู้ที่ผ่านการสรรหาทั้ง 10 ท่านในวันนี้ ผ่านการกลั่นกรองอย่างดีจากศาลฎีกาเชื่อว่าวุฒิสภาจะให้ความไว้วางใจได้


วิชา ไม่แน่ใจจะผ่านวุฒิสภาหรือไม่


นายวิชา มหาคุณ ประธานแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวในศาลฎีกา กล่าวหลังทราบผลว่าติด 1 ใน 10 ผู้ได้รับการสรรหาเป็น กกต.ชุดใหม่ว่า หน้าที่ของกกต.ชุดใหม่มี 4 ประการคือ 1. ต้องทำหน้าที่สนองพระราชดำริ โดยแก้ไขปัญหาให้บ้านเมือง ดังนั้น กกต.ต้องเป็นกลาง 2.ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต จัดการเลือกตั้งให้เป็นธรรม โปร่งใส 3.จะต้องตั้งใจปฏิบัติหน้าที่โดยไม่คำนึงถึงตัวเอง

และ 4. จะต้องจัดการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จสมบูรณ์ที่สุด ยังต้องผ่านการพิจารณาของวุฒิสภาต่อไป ยังไม่แน่ใจว่าจะผ่านหรือไม่ แต่ยืนยันว่าพร้อมที่จะทำงานและขอแสดงความยินดีกับผู้ผ่านการสรรหาทั้ง 9 ท่าน เมื่อถามว่า ควรให้องค์กรศาลเข้าไปมีส่วนร่วมในการจัดการเลือกตั้งหรือไม่ นายวิชาตอบว่า

จากแนวความคิดที่จะให้หัวหน้าศาลทั่วประเทศเข้าไปเป็นประธาน กกต.จังหวัดนั้น เชื่อว่ากรรมการตุลาการ หรือ กต.คงไม่ส่งไปร่วม แต่หัวหน้าศาลจังหวัดก็สามารถช่วยงานนี้ได้ โดยการช่วยค้นหาข้อมูลให้ กกต.ในแต่ละจังหวัด โดยแต่ละศาลจังหวัดยังมี ผอ.ศาล ที่สามารถเข้าไปกำกับดูแลการเลือกตั้งแต่ละจังหวัด โดยเข้าร่วมเป็น กกต.จังหวัดได้


นาม เป็นทุกขลาภได้รับเลือก


นายนาม ยิ้มแย้ม อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะศาลฎีกา และประธานอนุกรรมการสอบสวนคดีพรรคไทยรักไทย จ้างวานพรรคเล็กลงสมัครรับเลือกตั้ง กล่าวภายหลังได้รับการคัดเลือกจากที่ประชุมศาลฏีกาว่า การที่ได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาครั้งนี้อาจเป็นทุกขลาภ และคงทำให้มีความทุกข์มากเพิ่มขึ้นมากกว่า แต่ก็ขอขอบคุณที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาที่มอบความไว้ วางใจให้

เพราะตอนที่ลงสมัครก็ไม่คาดคิดว่าจะได้รับเลือก แต่ผู้พิพากษาศาลฎีกาหลายคนบอกว่าขอให้ทำงานเพื่อบ้านเมือง หากได้รับเลือกจากวุฒิสภาให้เป็น กกต.จริงก็พร้อมที่จะทำงานเต็มที่ แต่ก็รู้สึกหนักใจเพราะสังคมคาดหวังกับ กกต.ชุดใหม่มาก แต่ กกต.ก็มีข้อจำกัดในเรื่องระยะเวลาการทำงานสั้น เพราะเมื่อเข้าทำงานแล้วก็ต้องไปดูแลการเลือกตั้งทันที

นายนามกล่าวว่า ข้อกังวลใหญ่ของ กกต.ชุดใหม่ ในความคิดเห็นของตน ก็คือไม่รู้ว่าการบริหารจัดการภายใน กกต.เป็นอย่างไร โดยเฉพาะการวางตัวบุคคลและเจ้าหน้าที่ ที่จะดูแลการเลือกตั้งทั่วประเทศ ไม่รู้ว่ามีการวางสายสนกลในไว้อย่างไร สิ่งสำคัญหากได้รับเลือกให้เป็น กกต.อันดับแรก คงต้องไปดูเรื่องบุคลากร ต้องมีการเปลี่ยนแปลง กกต.จังหวัด เพราะเราไม่รู้ว่าอดีต กกต.ทำอะไรไว้บ้าง


หนักใจอดีต กกต.วางยาไว้เพียบ


นายนามยังกล่าวอีกว่า ข้อกังวลว่ารายชื่อทั้ง 10 คนส่วนใหญ่เป็นอดีตผู้พิพากษาถึง 8 คนแล้วจะไม่สามารถทำงานด้านการสอบสวนคดีเลือกตั้งหรือสอบสวนการทุจริตได้ ขอให้คลายกังวลเรื่องนี้ไปได้ เพราะแม้อดีตผู้พิพากษาจะไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องการจัดการเลือกตั้ง หรือการสอบสวนคดี แต่ผู้พิพากษาทั้งหมดส่วนใหญ่เป็นผู้พิพากษาอาวุโส เป็นผู้พิพากษาผู้ใหญ่ผ่านการวินิจฉัยคดีมาหลายสิบปี จึงไม่น่ามีปัญหา

แต่ที่กังวลมากว่า คือเรื่องภายในเพราะไม่รู้ว่า ข้างในมีปัญหาเยอะมากแค่ไหน แม้จะเคยเป็นอดีตประธานอนุ กกต. แต่ประชุมเสร็จก็เดินทางกลับ ไม่ได้นั่งที่สำนักงาน ผมถึงบอกว่ามันน่าจะเป็นการหาทุกข์มาใส่ตัวมากกว่า หากวุฒิสภาไม่เลือกผมก็ไม่รู้สึกติดใจ ส่วนเรื่องกระแสข่าวบล็อกโหวต ขอบอกว่าตลอดชีวิตผมเป็นผู้พิพากษาไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ตั้งแต่เกษียณจากผู้พิพากษาเมื่อปี 2538 แม้แต่ที่ศาลฎีกาผมก็ไม่เคยไป ดังนั้นเรื่องการจะไปล็อบบี้อะไรผมไม่ทำแน่ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับทางวุฒิเอง นายนามระบุ


สุชน วอนวุฒิสภาตรงไปตรงมา


นายสุชน ชาลีเครือ รักษาการประธานวุฒิสภา กล่าวว่า รายชื่อว่าที่ กกต.ทั้ง 10 คนที่ที่ประชุมใหญ่ ศาลฎีกาสรรหามา ถือว่าหน้าตาดีและขอชื่นชมที่เลือกคนที่เหมาะสมมา ทำให้ชั้นการพิจารณาของวุฒิสภาง่ายขึ้น ส่วนตัวเห็นใน 10 คนนี้ใครก็ได้เป็น กกต.เพราะมีประวัติส่วนตัวดี แต่ขั้นตอนจากนี้ไปต้องรอพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมวุฒิสภาสมัยสามัญ โปรดเกล้าฯลงมา

ก็สามารถประชุมได้ทันทีเพราะเตรียมการไว้ทั้งหมดแล้ว ส่วนคนที่ออกมาแสดงความเป็นห่วงว่าจะเกิดปัญหา ในชั้นการพิจารณาของวุฒิสภา ขอร้องว่าไม่ต้องเป็นห่วงทุกคนมีความสำนึกดี ที่จะทำงานอย่างเป็นกลาง ตรงไปตรงมา อย่างไรก็ตาม ต้องขอฝากประชาชนและหน่วยงานต่างๆ ช่วยส่งข้อมูลทั้ง 10 คนนี้มายังวุฒิสภา ทั้งตู้ปณ.45 ปณฝ.รัฐสภา หรือ www.senate.go.th เพราะเราต้องตรวจสอบในชั้นกรรมาธิการอีกชั้นหนึ่ง ส่วนจะใช้เวลานานเท่าไรขึ้นอยู่กับมติของที่ประชุม และยืนยันว่าไม่มีการบล็อกโหวตผู้ได้รับการเสนอชื่อรายใดทั้งสิ้น ทุกคนเท่าเทียมกันหมด


แก้วสรร รับปากไม่ทำให้เสียเกียรติ


นายแก้วสรร อติโพธิ อดีต ส.ว.กทม. 1 ใน 10 ผู้ที่ได้รับการสรรหาเป็น กกต.ชุดใหม่ กล่าวว่า ขอบคุณที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาที่ให้ความไว้วางใจ ถ้าในอนาคตได้เป็น กกต.จริงๆเวลาจะทำอะไรก็จะนึกถึงทุกคะแนนที่ผู้พิพากษาให้มา ขอยืนยันว่าจะไม่ทำอะไรให้เสียเกียรติเด็ดขาด

นายทองใบ ทองเปาด์ รักษาการ ส.ว.มหาสารคาม กล่าวว่า ภาพรวมรู้สึกพอใจถึงแม้จะมีผู้พิพากษาถึง 8 คน แต่ทุกคนมีฐานะตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดี และรู้สึกดีใจที่นายแก้วสรรได้รับคัดเลือกด้วย ดังนั้น คิดว่าใครก็ตามที่ได้รับการคัดเลือกเป็น กกต.ทั้ง 5 คน ก็ดีทั้งหมด เหมือนที่เลขานุการศาลฎีกายืนยันว่าภาพออกมาไม่ร้องยี้ก็แล้วกัน ตอนนี้จึงไม่ห่วงว่าวุฒิสภาจะเลือกใคร อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญเมื่อได้ กกต.ทั้ง 5 คนแล้วคิดว่าต้องให้เวลากับคนเหล่านี้เข้าไปสะสางงานใน กกต. กฎระเบียบที่มีปัญหาข้อบกพร่อง

การแต่งตั้งบุคลากร จะถือเป็นแขนขาของ กกต.กลางในการจัดการเลือกตั้ง จะต้องรื้อใหม่ทั้งหมด ส่วนการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 15 ต.ค.นี้ จะทันหรือไม่เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้ ในขณะที่มี กกต.ชุดเดิม และไม่มีใครคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เลือก กกต.ชุดใหม่ ดังนั้น ต้องให้เวลา กกต.ชุดใหม่


กกต.วันนี้ไม่กล้าเสี่ยงเหมือนอดีต


นายประวิง คชาชีวะ รองเลขาธิการ กกต.ด้านบริหารงานเลือกตั้ง กล่าวว่า หากกรณีที่ได้ กกต.ชุดใหม่ไม่ทันวันที่ 24 ส.ค. ที่ พ.ร.ฎ.แก้ไขเพิ่มเติมวันเลือกตั้งจะมีผลบังคับใช้นั้น ไม่อยากชี้ประเด็นนี้ ต้องให้หน่วยงานที่มีอำนาจพิจารณา แต่สำนักงาน กกต.ยังยึดว่า พ.ร.ฎ.มีผลบังคับใช้วันที่ 24 ส.ค. คงไม่สามารถเรียกร้องให้ใครเร่งรัดทำอะไรได้ เพราะเราระมัดระวังทุกขั้นตอน ไม่ให้สุ่มเสี่ยงเหมือนในอดีต จะอาศัยความรู้สึกไม่ได้แล้ว

วันนี้ต้องยึดข้อกฎหมายอย่างเข้มงวด สำหรับข่าวลือที่ว่า พล.ต.ต.เอกชัย วารุณประภา เลขาธิการ กกต.จะลาออกนั้น ทำให้ผู้บริหารระดับสูงบางคนถึงกับระบายความรู้สึกว่า ขณะนี้เหมือนกับแม่ทัพใหญ่ไม่อยู่ รองลงมาก็ไม่มี ในใจของพนักงานก็ระส่ำ การจัดเลือกตั้งก็เหมือนออกศึกแม้ทำได้ แต่จิตใจไม่ฮึกเหิม ส่วนงบประมาณในการเลือกตั้ง 15 ต.ค. ว่า กกต.วางกรอบงบฯไว้ที่ 2,020 ล้านบาท แต่ยังไม่ทราบว่าสำนักงบประมาณว่าจะอนุมัติหรือไม่ เพราะเป็นจำนวนเงินที่สูงพอสมควร


ผบ.ทอ.ชี้วุฒิสภาไม่ควรใช้เวลามาก


พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผบ.ทอ. กล่าวว่า กรณีที่ศาลฎีกาได้พิจารณาสรรหาผู้ที่จะเข้ามาทำหน้าที่ กกต.ชุดใหม่ น่าจะเป็นความหวังที่ดีได้ ต่อไปก็เป็นหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติที่จะพิจารณาดำเนินการต่อ วันนี้ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ส่วนที่มีการมองว่าวุฒิสภาไม่น่าจะใช้เวลาตรวจสอบคุณสมบัติผู้ที่ได้รับการคัดเลือกนานนัก เพราะผ่านการกลั่นกรองของศาลมาชั้นหนึ่งแล้ว วุฒิสภาต้องทำให้เร็วที่สุด เพราะประวัติของแต่ละคนที่ถูกนำเสนอนั้น

เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่ามีความเหมาะสมหรือไม่อย่างไร อีกทั้งกฎหมายยังกำหนดให้ต้องดำเนินการ เพื่อให้การเลือกตั้งมีขึ้นตามกำหนดเวลา ส่วนกรณีที่มีเสียงเรียกร้องให้เลื่อนวันเลือกตั้ง เพื่อให้ กกต.ชุดใหม่จัดระบบการทำงาน เพื่อให้เข้ามาทำงานได้อย่างสมบูรณ์ด้วยว่า ข้อบังคับและกฎต่างๆของ กกต.มีมานานแล้ว และ กกต.ชุดใหม่ที่จะเข้ามาทำหน้าที่ก็ถือว่าเป็นชุดที่ 3 แล้ว ดังนั้น จึงมีกรอบการทำงานทุกอย่างแล้ว เพียงแต่ขอให้ทำให้ถูกต้องและยุติธรรมเท่านั้น จึงเชื่อว่าไม่น่าจะเหลือบ่ากว่าแรง ที่ กกต.ชุดใหม่จะสามารถจัดให้มีการเลือกตั้งภายในวันที่ 15 ต.ค.นี้ได้


แหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์