ตัวตลกหรือสติแตก ?

จากมติชน



หินก้อนล่าสุดที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี โยนเข้ากลางสถานการณ์วิกฤตทางการเมือง อาจจะเป็นการโยนหินที่ทำให้สังคมมั่นใจมากขึ้นว่าเนื้อแท้ใจจริงของ พ.ต.ท.ทักษิณมีความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตยเพียงไร ?

เพราะทันทีที่ประกาศคำว่ารัฐบาลแห่งชาติเพื่อความสมานฉันท์ โดยตั้งเงื่อนไขให้เหล่าบรรดาพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกลับบ้านไปใช้สิทธิเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายนที่กำลังจะถึงนี้ว่า

"ผมยินดีต้อนรับให้มาตั้งรัฐบาล เพื่อมาแก้ปัญหาร่วมกันเพื่อการปฏิรูปการเมือง ยินดีจัดโควตาให้พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย พรรคมหาชน และพรรคอื่นๆ ที่อาจจะมีที่นั่งในสภาร่วมกัน เป็นรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหาของชาติร่วมกัน ถ้าสนธิ จำลองสนใจจะมาในรูปของพรรคการเมืองที่มี ส.ส.ในสภา หรืออยู่ใน 3 พรรคนั้นก็ไม่ว่ากัน แต่ว่าต้องไปอยู่ที่ไม่มีปัญหาเพราะกลัวทำไม่เป็น สรุปแล้วผมใจกว้างมากพอที่จะให้มีการร่วมกันเพื่อชาติ ผมอยากให้การขัดแย้งยุติหลัง 2 เมษาฯ"

หมายความว่า พ.ต.ท.ทักษิณต้องการให้เกิดการเลือกตั้ง ต้องการให้ม็อบพันธมิตรประชาชนฯยุติการชุมนุม และที่สำคัญคือยังต้องการที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี ในขณะที่เสียงของคนไทยตะโกนขับไล่เซ็งแซ่

โดยไม่สนใจข้อเสนอที่ทางพรรคประชาธิปัตย์ อดีตพรรคร่วมฝ่ายค้านนำเสนอกลางสนามหลวงเมื่อวันที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมา และไม่สนใจเสียงขับไล่ของประชาชนที่ดังมากขึ้นทุกวัน


นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยหลังเข้าร่วมหารือกับอดีตพรรคร่วมฝ่ายค้าน ว่า

เป็นการสร้างภาพลวงตามากกว่าเป็นแนวทางของการปรองดองเพื่อแก้ไขปัญหาของชาติ

"เราจึงมองว่าเป็นความพยายามของ พ.ต.ท. ทักษิณ คงจะมีความกังวลมากขึ้นทุกวันในแง่ความชอบธรรมของตัวเองทั้งหลังและก่อนเลือกตั้ง จึงพยายามเสนอข้อเสนอเหล่านี้ให้เกิดความสับสนในหมู่ประชาชน และต้องการที่จะหาทางอย่างไรก็ได้ที่จะต่ออายุในการดำรงตำแหน่งนายกฯของตัวเอง ดังนั้นจึงชัดเจนว่าไม่ใช่ข้อเสนอที่จะเป็นประโยชน์"

นอกจากนั้น นายอภิสิทธิ์ยังตอกย้ำอีกว่า "นายกฯอย่าไปหลอกตัวเองหรือหลอกใครเลยว่าหลังเลือกตั้งวันที่ 2 เมษาฯแล้วปัญหาจะจบ อยากให้เอาคำตอบของพวกเราไปคิด ถ้าใช้เป็นก็จะเข้าใจว่าเป้าหมายพวกเราไม่ใช่ต้องการกุมอำนาจรัฐ แต่เราต้องการปฏิรูปการเมือง ลองไปคิดดูวันนี้คุณทักษิณเสนอในสิ่งที่คิดว่าคนอื่นเขาอยากได้มากที่สุด แต่ยังได้รับการปฏิเสธ"


เช่นเดียวกับท่าทีของ "ป๋าเติ้ง" บรรหาร ศิลปอาชา ที่รู้ตื้นลึกหนาบางในความคิดของทักษิณเป็นอย่างดี ซึ่งปฏิเสธข้อเสนอนี้โดยสิ้นเชิง



"ไม่ลงเลือกตั้งแล้วจะเอารัฐบาลแห่งชาติฯ ชาติไหน จะเป็นไปได้อย่างไร ผู้แทนฯพรรคการเมืองฝ่ายค้านก็ไม่มี แล้วเราจะเข้าไปอยู่ในลักษณะไหน ถ้าเป็นเหมือนในอดีตที่ผ่านมารัฐมนตรีก็พูดอะไรไม่ได้เลย อยู่ข้างนอกนั่งกินโอเลี้ยงดีกว่า"


ไม่เพียงเท่านั้นขาประจำเสื้อกั๊กไหมพรม นายธีรยุทธ บุญมี นักวิชาการจากคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็ได้แสดงความเห็นผ่านสื่ออีกครั้ง ท่ามกลางสถานการณ์ dead lock ทางการเมือง



"โดยส่วนตัวผมคิดว่าคุณทักษิณไม่ลาออก แต่หลังจากเลือกตั้งเสร็จสิ้น พ.ต.ท.ทักษิณจะแพ้ภัยตัวเอง แม้ว่าจะได้ 30 ล้านเสียง กูไม่รับโว้ย ในแง่ของศีลธรรม เพราะฉะนั้นต้องสู้ต่อ หากทักษิณจะเป็นนายกฯก็ไม่ขัดข้อง แต่จะคัดค้านต่อ ถึงตอนนี้ไทยรักไทยควรจะคิดได้แล้วว่าในที่สุดทักษิณจะไปคนเดียวหรือจะไปพร้อมกันทั้งไทยรักไทย"

"ทักษิณเป็นเพียงคนเสียสติคนเดียวที่เข้ามาแทรกในการเมืองไทย คุณทักษิณพูดจาไม่อยู่กับร่องกับรอย จากที่โจมตี พล.ต.จำลอง ศรีเมือง กับนายสนธิ ลิ้มทองกุล ว่าเป็นพวกไม่ดี แต่คราวนี้มาบอกว่าจะให้เข้าร่วมรัฐบาล ข้อเสนอนี้เหมือนการตั้งรัฐบาลเสียสติแห่งชาติ เพราะทักษิณเหมือนคนเสียสติ สร้างปัญหาทั้งหมดให้เกิดขึ้นจากโลภะ โทสะ โมหะขอตนล้วนๆ จนต้องกะล่อนเอาตัวรอดไปวันต่อวัน

เพราะก่อนยุบสภาทักษิณมีอำนาจ มีความชอบธรรมสูงมากจนสร้างความสมานฉันท์ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ชาติทุกอย่างได้ กลับไม่ทำ แต่พอถูกเปิดโปงเรื่องทำผิดกฎหมาย โกงภาษี ทักษิณก็ทำสิ่งที่ใหญ่โตมากคือ ยุบสภา เสนอการปฏิรูปการเมือง และหลังสุดก็เสนอจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติฯขึ้นมา"

นายธีรยุทธกล่าวอีกว่า "ในเวลาข้างหน้าโจทย์ใหญ่นี้จะตกอยู่กับทักษิณ คนจะตั้งคำถามว่า ต้นเหตุเกิดจากเพื่อตัวทักษิณคนเดียว บ้านเมืองจึงปั่นป่วนขนาดนี้ เกิดวิกฤตขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ ทักษิณยังจะอาจเอื้อมขอให้พระราชทานเปิดสภาให้ประเทศมีการปกครองแบบสภาพรรคเดียว และหวนกลับมาเป็นนายกฯอีกหรือ หากมีปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนก็ยุบสภา อ้างกติกาเลือกตั้ง หวนกลับมาอีกไม่รู้จบ"

นอกจากนี้ นักวิชาการขาประจำยังวิเคราะห์สถานการณ์หลังการเลือกตั้ง ว่า พลังประชาชนจะไม่หยุดการเคลื่อนไหวต่อสู้ แต่จะยิ่งขยายรูปแบบไปเรื่อยๆ ธุรกิจและเศรษฐกิจจะทรุดต่ำลง แต่ประชาชนจะมองว่าการดื้อรั้นอยากอยู่ในอำนาจของทักษิณคือต้นตอของปัญหามากขึ้น

โดยตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าทักษิณจะถอยฉากให้คนอื่นเป็นนายกฯนอมินี ตัวเองเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังกองทัพ ตำรวจ ข้าราชการ ชนชั้นสูงซึ่งถือเอาระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และมีประเพณีว่านายกฯจะต้องถวายรายงานขอพระราชทานความเห็น แง่คิดต่างๆ จะทนรับระบบการปกครองไทยที่เปลี่ยนไปคล้ายสิงคโปร์ คือ นายกฯนอมินีต้องขอคำแนะนำ คำวินิจฉัยจากอดีตผู้นำพรรคไทยรักไทยอีกขั้นหนึ่งก่อนได้หรือไม่

"ทักษิณสามารถทำให้ระบอบประชาธิปไตยเป็นเรื่องตลก ที่ตัวเองสามารถชักใยให้เป็นแบบนั้นแบบนี้ได้อย่างสบายใจ ผมนึกถึงหม่ำ จ๊กมก พอดีผมชอบ นี่ก็กำลังจะไปดูเรื่องโหน่งเท่ง นักเลงภูเขาทอง คือหม่ำ จ๊กมก สร้างสิ่งที่ดีกับตลกเมืองไทย

แต่แม้ว จ๊กมก ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าสมเพชในสายตาต่างชาติ เพราะผู้นำที่โกงกิน ใช้อำนาจทำร้ายประเทศซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็ยังมาเป็นตัวแทนของประเทศได้ อีกหน่อยอาจจะเอาภูเขาทอง ไนต์บาซาร์ไปขายก็ได้"

นายธีรยุทธให้ความเห็นอีกว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นต้นทุนทางสังคมที่จำเป็นต้องจ่าย เนื่องจากที่ผ่านมาสังคมไม่เข้มแข็งพอจะแก้ไขการคอร์รัปชั่น

"เรื่องอย่างนี้ win-win ไม่ได้ อยากจะท้วงนักธุรกิจในต่างประเทศประชาธิปไตยเกิดจากกลุ่มพ่อค้า นายทุน นักธุรกิจ เมื่อ 14 ตุลาประชาชนออกมาสู้ พฤษภาทมิฬก็เป็นชนชั้นกลาง วันนี้นักธุรกิจไม่ออกมาสู้ คิดแต่ผลประโยชน์ รอดูดุลยภาพทางการเมืองว่าเมื่อไรจะดีขึ้น อันนี้ไม่ดีเลย ภาคธุรกิจเห็นแก่ตัว เห็นแต่ผลประโยชน์ ไม่ยอมลงทุนลงแรงในทางการเมือง"

แม้อุณหภูมิทางการเมืองจะร้อนระอุจนไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะมีการเลือกตั้งหรือไม่ หรือเลือกตั้งแล้วเหตุการณ์จะบานปลายรุนแรงขนาดไหน แต่ก็พอจับทางได้แล้วว่าการเปิดประเด็นรัฐบาลแห่งชาติฯของ พ.ต.ท.ทักษิณมีนัยแอบแฝงให้กลุ่มชนชั้นล่างรู้สึกว่านายกฯรักษาการได้ถอยมาหลายก้าวแล้ว

ซึ่งความจริง พ.ต.ท.ทักษิณก็ยังคงต้องการอยู่ในอำนาจแบบไม่จบไม่สิ้น บนความแตกแยกของคนไทยทั้งประเทศ แม้จะถูกหลายฝ่ายขว้างหินกลับมา

หากเริ่มต้นโยนหินถามอย่างนี้ ตอนจบ "แม้ว จ๊กมก" อาจจะเดินอยู่บนถนนแห่งอำนาจที่นองไปด้วยเลือดของประชาชน

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์