ไทย!! ศูนย์กลางแปลงเพศโลก คิดจะเฉาะต้องพร้อม 7 ประการ

ไทย!! ศูนย์กลางแปลงเพศโลก คิดจะเฉาะต้องพร้อม 7 ประการ

คนส่วนใหญ่มี "อัตลักษณ์ทางเพศ" ที่ตรงกับเพศของตน แต่ยังมีคนส่วนหนึ่งที่มีความรู้สึกส่วนลึกภายใน "ตรงกันข้าม" นั่นทำให้ภาพ "ชายไม่จริง หญิงไม่แท้" มีให้เห็นดาษดื่นมาทุกยุคสมัย เพียงแต่ในอดีตสังคมยัง"ปิดกั้น" ทำให้กลุ่มคนเหล่านี้ต้อง "แอบ" ซ่อนความรู้สึกความเป็นตัวตนไว้ภายใน

ทว่า...ปัจจุบันสังคมเปิดกว้าง "ยอมรับ" มากขึ้น ทำให้พวกเขากล้าพอที่จะเปิดเผยตัวตนจริงๆ ให้สังคมภายนอกรับรู้ ประกอบกับวิทยาการทางการแพทย์ โดยเฉพาะการ "ศัลยกรรมแปลงเพศ" ก้าวหน้ามากขึ้น ยิ่งช่วยให้พวกเขา "เปลี่ยนกาย ให้เป็นอย่างใจ" ได้อย่างที่อยากจะเป็น

ในแต่ละปีพบว่ามีจำนวนผู้ที่ก้าวผ่าน "มีดหมอ" เพื่อแปลงเพศไม่น้อยเลย และไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่ "แพทย์ศัลยกรรม" เป็นที่ยอมรับไม่แพ้ชาติใดในโลก โดยเฉพาะในกลุ่มชาวต่างชาติที่แห่แหนกันเข้ามาศัลยกรรมอย่างไม่ลังเล ในรอบหลายปีที่ผ่านมา "ศัลยแพทย์มือทอง" โดยเฉพาะเรื่องการแปลงเพศจึง "หัวกระไดไม่แห้ง" เลยทีเดียว จนผลักดันให้ประเทศไทยก้าวเข้าใกล้คำว่า... "ศูนย์กลางการผ่าตัดแปลงเพศ"!!!


ไทย!! ศูนย์กลางแปลงเพศโลก คิดจะเฉาะต้องพร้อม 7 ประการ

"นพ.กรีชาติ พรสินสิริรักษ์" หัวหน้าศูนย์ศัลยกรรมตกแต่ง โรงพยาบาลยันฮี ซึ่งได้รับการยอมรับในเรื่องความ "ประณีต" จนติดอันดับ 1 ใน 3 ของเอเชีย กล่าวว่า สิ่งที่เป็นเครื่องยืนยันได้ว่าประเทศไทยเป็น "ศูนย์กลางการผ่าตัดแปลงเพศ" ของโลก เพราะฝีมือแพทย์ที่มีทั้งประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการผ่าตัด ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและความงาม โดยเฉพาะการ "แปลงเพศ" มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ละปีดึงดูดลูกค้าชาวต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีน ออสเตรเลีย และประเทศย่านตะวันออกกลาง เป็นต้น เข้าประเทศได้กว่า 2 ล้านคน สร้างรายได้เข้าประเทศปีละ 140,000 ล้านบาท เฉพาะที่โรงพยาบาลยันฮี ใน 1 สัปดาห์ มีผู้เข้ามาใช้บริการแปลงเพศเฉลี่ย 2-5 ราย หรือปีละกว่า 100 ราย จึงคาดว่าปี 2559 จะมีผู้มารับการแปลงเพศเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 10%

"นพ.กรีชาติ" กล่าวอีกว่า จากสถิติของโรงพยาบาลยันฮี พบว่า ส่วนใหญ่ผู้ที่มาแปลงเพศมักเป็น "ชายแปลงเป็นหญิง" ขณะที่ "หญิงแปลงเป็นชาย" มีน้อยมาก เพราะแปลงชายเป็นหญิงง่ายกว่า ขั้นตอนไม่ซับซ้อน ที่สำคัญค่าใช้จ่ายไม่แพง ส่วนใหญ่ราคาเริ่มต้นที่ 100,000 บาท ขึ้นอยู่กับความยากง่ายเป็นเคสๆ ไป ส่วนการแปลงเพศจากหญิงเป็นชายราคาจะสูงกว่า 3 เท่า เนื่องจากมีความซับซ้อนในการศัลยกรรม และต้องปรับสภาพร่างกายในหลายๆด้านมากกว่า

"เงิน" ไม่สามารถซื้อได้ทุกสิ่ง...

"แปลงเพศ" ก็เช่นกัน...

เพราะผู้ที่จะ "เฉาะ" แปลงเพศได้ต้องรับการตรวจ และ "ทดสอบ" จากจิตแพทย์ก่อน ซึ่ง นพ.กรีชาติ อธิบายว่า ผู้ที่จะเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศ โดยเฉพาะจากชายกลายเป็นหญิงได้ ต้องมี "คุณสมบัติ 7 ประการ" ครบ และสภาวะจิตใจ "พร้อม" ดังนี้ 

1. ดำรงชีวิตแบบหญิงติดต่อกันมากกว่า 1 ปีขึ้นไป
2. เคยใช้ชีวิตเป็นหญิงอย่างสมบูรณ์ โดยที่คนรอบข้างยอมรับได้และใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ไม่มีความกดดันใดๆ
3. มีความรู้สึกเป็นหญิงมานานแล้ว หรืออาจจะเริ่มตั้งแต่ "จำความได้"
4. มีความรู้สึก "รังเกียจ" อวัยวะเพศชายของตัวเองและคิดว่าเป็น "ส่วนเกิน"
5. มีความรู้สึกไม่ชอบพฤติกรรมของพวก "รักร่วมเพศ"
6. เคยรับประทาน "ฮอร์โมนเพศหญิง" มาก่อน ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบยากิน หรือยาฉีด เพราะโดยทั่วไปแล้วถ้าไม่ได้ตั้งใจจริงที่ต้องการจะเป็นหญิง คงไม่มีผู้ชายคนใดที่นำฮอร์โมนเพศหญิงมารับประทาน และ
7. ผ่านการประเมินสภาพจิตใจโดยจิตแพทย์ว่าอยู่ในภาวะที่ปกติและพร้อมต่อการผ่าตัด

"แต่การผ่าตัดแปลงเพศนั้น แพทย์จะถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการรักษาผู้ป่วยที่มีความผิดปกติในการรับรู้เพศ"

"นพ.กรีชาติ" กล่าวอีกว่า การผ่าตัดแปลงเพศถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของชีวิต เพราะจะไม่สามารถกลับมาใน "เพศเดิม" ได้อีก ดังนั้นการศึกษาหาข้อมูลและเลือกปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ รวมถึงต้องทำในโรงพยาบาลที่มีมาตรฐาน จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นมากที่สุด เพื่อความสมบูรณ์ตามเพศที่ต้องการ และใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข

ศัลยกรรมไม่ใช่เรื่องใหม่ของเมืองไทย โดยเฉพาะการศัลยกรรมความงาม ทั้ง "กรีดตา เสริมดั้ง อัพไซส์...ฯลฯ" ที่จะว่าไปแล้วน่าจะเป็นที่รับรู้มาก่อนการผ่าตัดแปลงเพศด้วยซ้ำ หากแต่ ณ ปัจจุบัน สถานการณ์อาจ "เปลี่ยนไป" เพราะกลุ่มผู้ชายที่ "หล่อด้วยมีดหมอ" เริ่มมีมากขึ้น

"นพ.กรีชาติ" กล่าวว่า ผู้ที่มาทำศัลยกรรมความงามอย่างที่โรงพยาบาลยันฮี มีทั้งผู้ชายและผู้หญิงและส่วนใหญ่จะเข้ามา "เสริมดั้ง-กรีดตา" โดยผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะมาทำศัลยกรรมจมูก ตา และ "อัพไซส์" เสริมหน้าอก ตามลำดับ ขณะที่ผู้ชายส่วนใหญ่จะเลือกทำจมูกกับตา แตกต่างจากสมัยก่อนที่ผู้ชายไม่ค่อยสนใจในเรื่องการทำศัลยกรรม แต่ปัจจุบันผู้ชายอายุต่ำกว่า 18 ปี หรือเรียนจบมัธยมศึกษาตอนปลายก็เริ่มมาทำจมูกกันแล้ว

"วัยที่เหมาะแก่การทำศัลยกรรม" ถ้าเป็นผู้หญิง อายุ 16-17 ปี หรือเริ่มมีประจำเดือนก็ทำศัลยกรรมได้แล้ว ขณะที่ผู้ชายต้องอายุ 18-22 ปี ถึงจะเริ่มทำศัลยกรรมได้ เพราะกระดูกใบหน้าจะโตเต็มที่ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ถ้าทำตอนใบหน้ายังไม่โตเต็มที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปทรง เป็น "อันตราย" ได้ ดังนั้นการจะทำศัลยกรรมควรให้กระดูกโตเต็มที่ก่อน

"ผู้ที่จะทำศัลยกรรมได้นั้นต้องมีอายุเกิน 18 ปีขึ้นไป ถ้าต่ำกว่านั้นต้องได้รับการยินยอมจากผู้ปกครอง แต่ก็ขึ้นอยู่กับจรรยาบรรณของแพทย์ด้วย ถ้ายอมทำให้เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ยิ่งไม่สมควรทำ เพราะใบหน้ายังโตไม่เต็มที่ มีอันตราย" นพ.กรีชาติ กล่าวทิ้งท้าย

ปัจจุบันวิทยาการทางการแพทย์มีการค้นพบเทคนิคการผ่าตัดสมัยใหม่ ไม่ยุ่งยากซับซ้อน บวกกับแพทย์ผ่าตัดที่มีประสบการณ์และความชำนาญโดยตรง ช่วยให้ความใฝ่ฝันของผู้ที่ต้องการ "สวย-หล่อด้วยมีดหมอ" ไม่ใช่เรื่องยาก รวมถึงสามารถ "แปลงเพศ" เปลี่ยนกาย ให้เป็นอย่างใจ ให้เป็นหญิง-เป็นชายได้ตามต้องการ เพียงแต่อาจต้องเลือกโรงพยาบาลที่ปลอดภัยได้มาตรฐาน ไม่เช่นนั้นจากที่จะ "สวย-หล่อ" อาจกลายเป็น..."เละ"!!!


เครดิต :
เครดิต : เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์แนวหน้า


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์