ไขศรีมึนแฟชั่น นร.สาวไม่ใส่ลิง

จากกรณีมีข่าวสะพัดว่ามีนักเรียนวัยรุ่นหญิงในจ.นครศรีธรรมราช ขี่รถจักรยานซ้อนสามไปล้มแล้วพบว่าไม่สวมกางเกงใน


โดยอ้างเป็นเทรนด์ใหม่ในหมู่โจ๋หญิงนั้น ต่อมาเมื่อวันที่ 24 ก.ย. น.ส.ลัดดา ตั้งสุภาชัย ผอ. ศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ให้ สัมภาษณ์ในเรื่องดังกล่าวว่า ขณะนี้ปัญหาสังคมที่เกิดกับเด็กและเยาวชนมีจำนวนมาก ที่ผ่านมากระทรวงได้ มีการรณรงค์ และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาความเบี่ยงเบนทางวัฒนธรรมมาโดยตลอด แต่ขณะนี้มีกระแสแฟชั่นการแต่งกายรูปแบบใหม่  กำลังระบาดเข้ามาในสังคมไทย  และเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งคือ การที่เด็กและเยาวชนไทยรับเอากระแสทางวัฒนธรรมต่างชาติเข้ามาใช้ในชีวิตประจำวัน  โดยเฉพาะเรื่องการแต่งกายของผู้หญิงที่ล่อแหลม ใส่ชุดกระโปรงสั้นขึ้น ชุดชั้นในตัวเล็กลงเรื่อยๆ และที่น่าตกใจที่สุดคือ การสวมเสื้อผ้า แต่ไม่สวมใส่กางเกงชั้นในเลย โดยมีการเลียนแบบ นักแสดง ดาราฮอลลีวูดชื่อดัง อย่าง บริทนีย์ สเปียร์ส หรือลินเซย์ โลฮาน ที่เคยเป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ หรือตามฟอร์เวิร์ดเมล์

อีกทั้งบางคนยังได้ไปตกแต่งและทำสีที่ขนบริเวณอวัยวะเพศด้วย 

เรื่องนี้ตนมีความเป็นห่วงเรื่องสุขภาวะทางเพศ  หากมีเชื้อโรคเข้าไปในอวัยวะเพศจะเป็นอันตรายต่อตัวเด็กเอง เพราะจะติดเชื้อได้ง่าย  อีกทั้งการแต่งกายโดยไม่ใส่กางเกงในนั้น มองได้ 2 มิติ คือ เป็นเรื่องสิทธิส่วนบุคคล  แต่เป็นสิ่งไม่เหมาะสม ที่ทำไม่มิดชิดเช่นนี้
 

“เด็กไทยรับวัฒนธรรมต่างชาติมามากจนไม่มีขอบเขตแล้ว  ในเรื่องนี้ผู้แต่งกายเช่นนี้อาจจะมีเจตนาเรียกร้องความสนใจ ชอบโชว์ หรือคิดว่าการไม่สวมใส่ กางเกงชั้นในจะรู้สึกสบายกว่าการใส่ก็ตาม  แต่ดิฉันคิดว่าการแต่งกายที่นำไปสู่การที่ทำให้สุขภาพร่างกายเป็นอันตราย เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะทั้งสิ้น เพราะอวัยวะเพศ เป็นของสงวนที่ต้องปกปิด ไม่ควรเอามาโชว์ให้ผู้อื่นดู แต่ถามว่าสิ่งที่กลุ่มคนเหล่านั้นกระทำเป็นเรื่องส่วนตัวหรือไม่ ตอบได้ว่าเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ไม่เหมาะสมกับสังคมไทย อีกทั้งค่านิยมการเลียนแบบศิลปินต่างชาติเช่นนี้ ก็ไม่ควรสนับสนุน อย่างไรก็ดี อยากให้คนไทย ตระหนักถึงการดูแลรักษา  อวัยวะทางเพศต้องสะอาด ใส่กางเกงในที่เหมาะสม สามารถปกคลุมเชื้อโรคได้ ดิฉันอยากฝากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  โดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุข แนะนำเด็กๆ ว่าหากทำเช่นนี้จะมีอันตรายต่อร่างกายอย่างไรบ้าง เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับอวัยวะเพศ  และปัญหาอาชญากรรมทางเพศมากขึ้น” น.ส.ลัดดากล่าว


ส่วนคุณหญิงไขศรี ศรีอรุณ รมว.วัฒนธรรม กล่าวว่า


ส่วนตัวเห็นว่าการไม่ใส่กางเกงในนั้น เป็นเรื่องเหลือเชื่อ ที่ไม่น่าเกิดขึ้นในประเทศไทย แต่เรื่องนี้เป็นสิทธิส่วนบุคคล การกระทำดังกล่าวอาจเกิดการเลียนแบบแฟชั่นค่านิยม การแต่งกายจากต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น ดังนั้นจึงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่กระทรวงวัฒนธรรมเห็นว่าต้องมีการรณรงค์ ส่งเสริมพฤติกรรม และค่านิยม ให้คนไทยแต่งกายอย่างรัดกุมมากขึ้น รวมทั้งลดการแต่งกายที่ล่อแหลมขัดต่อวิถีชีวิต และวัฒนธรรมอันดีของประเทศไทย ที่มีค่านิยมในการแต่งกายที่สุภาพเรียบร้อย โดยการแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุด คือ ควรจะต้องให้สถาบันครอบครัว หันมาใส่ใจเรื่องการแต่งกายกับเด็กและเยาวชนก่อนออกจากบ้านมากขึ้น  รวมทั้งตัวเด็กเองต้องมีจิตสำนึกในเรื่องการแต่งกายที่เหมาะสมด้วย  อย่างไรก็ตาม  จะมอบหมายให้ ผอ.ศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรม ประสานงานไปยังเครือข่ายเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม  และเครือข่ายผู้ปกครองทั่วประเทศ ในการตรวจสอบ  และดูแลวัฒนธรรมที่เบี่ยงเบนของเด็กและวัยรุ่นไทย  เพื่อรักษาวัฒนธรรมการแต่งกายที่ดีเอาไว้ 


“ขณะนี้เด็กและเยาวชนไทยมักรับเอาแฟชั่นต่างชาติหมดทุกเรื่อง โดยไม่มีการกลั่นกรองถึงข้อดีข้อเสีย และไม่คำนึงความเหมาะสมว่าควรหรือไม่ควร การแต่งกายแบบไม่สวมชุดชั้นในนั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นกระแสชั่วคราวของเด็กวัยรุ่นที่มาจากต่างประเทศ แต่ไม่เข้าใจว่าถึงแม้จะเป็นแฟชั่นจากญี่ปุ่น แต่ทำไมคนไทยต้องเอาสิ่งที่ไม่ดีมาเป็นตัวอย่าง และไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการกระทำดังกล่าว เพราะไม่ใช่เรื่องที่ดี เป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของเด็กวัยรุ่น และไม่ใช่วัฒนธรรมที่ดีของไทย ซึ่งในวันข้างหน้าอาจจะมีแฟชั่นแบบไม่ใส่ทั้งเสื้อใน และกางเกงชั้นใน จะนำมาซึ่งปัญหามากมาย เช่น ปัญหาอาชญากรรมทางเพศ การถูกข่มขืน อย่างไรก็ตาม กระทรวงวัฒนธรรมไม่มีอำนาจที่จะไปห้ามปรามหรือบังคับไม่ให้เด็กและเยาวชนแต่งกายเช่นนั้น เพราะเป็นเรื่องสิทธิส่วนบุคคล แต่จะขอความร่วมมือ และรณรงค์ส่งเสริมให้เยาวชนไทยรักษาค่านิยมที่พึงประสงค์ และวัฒนธรรมการแต่งกายของไทยให้มาก” รมว.วัฒนธรรมกล่าว 


ขณะที่ในส่วนของกรมสุขภาพจิต นพ.ม.ล.สมชาย จักรพันธุ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวถึงกรณีที่วัยรุ่นหญิงมีพฤติกรรมไม่ใส่กางเกงในว่า


เรื่องนี้เป็นปรากฏการณ์ ธรรมชาติของวัยรุ่น  ที่อาจจะคิดว่าการกระทำของตนไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ตนไม่อยากให้สังคมรุมประณามว่าการกระทำแบบนี้เป็นเรื่องไม่ดี หรือมองว่าพฤติกรรมการรับเอาวัฒนธรรมตะวันตก หรือเลียนแบบของวัยรุ่นเป็นเรื่องเลวร้ายไปทั้งหมด  เพราะจะยิ่งทำให้เกิดการต่อต้าน แต่ควรจะมีวิธีสอนให้วัยรุ่นรู้ว่าอะไรควรไม่ควร เช่น จากเหตุการณ์อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นที่นครศรีธรรมราช อาจจะต้องชี้ให้วัยรุ่นเห็นว่าเป็นบทเรียนว่าถ้าไม่ใส่เสื้อผ้าให้มิดชิดแล้ว เวลาเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นมา ก็จะกลายเป็นเรื่องน่าอับอายหรืออุจาด วัยรุ่นจะได้ไม่อยากทำพฤติกรรมเช่นนั้น
 

“ผมมองว่าบางทีกระทรวงวัฒนธรรมก็ตั้งกำแพงสูงเกินไป  จะยิ่งทำให้วัยรุ่นมีการต่อต้าน เพราะวัยรุ่นสมัยนี้จะไปห้ามไม่ให้ทำอะไรเป็นเรื่องยาก ต้องชี้ให้เห็นข้อดีข้อเสียจากเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น  ผมว่าวัยรุ่นอาจจะคิดว่าการไม่ใส่กางเกงใน  ก็ไม่ต่างอะไรกับการไม่ใส่ยกทรง ที่ดาราหรือฝรั่งก็ใส่เสื้อกล้ามตัวเดียวเดินโทงเทงกันเป็นแถวๆ แต่ต้องชี้ให้เห็นว่าเป็นเรื่องเหมาะสมกับสังคมไทยหรือไม่  ตรงนั้นต่างหากคือการแก้ปัญหา อย่าไปมองว่าคนไม่ใส่ยกทรงกางเกงในเป็นคนวิปริตไปหมด  จะยิ่งทำให้วัยรุ่นไปทำในสิ่งที่ปกปิดป้องกันได้ยากมากขึ้น” อธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าว


สำหรับค่านิยมที่วัยรุ่นหญิงนุ่งกระโปรงสั้นแล้วไม่ใส่กางเกงในนั้น กลายเป็นประเด็นดังขึ้นมาเมื่อนายสมพงศ์ อยู่เถาว์ สารวัตรนักเรียน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครศรีธรรมราช เขต 1 เผยถึงเหตุดังกล่าวในรายการข่าวเด่นเย็นนี้ของทีวีสีช่อง 3 ว่า

มาจากการประสานกับตำรวจจราจรไว้ว่าหากพบเด็กหญิงนั่งรถจักรยานยนต์ ซ้อน  3  โดยใส่กระโปรงนักเรียนอยู่ให้รีบแจ้ง  กระทั่งวันหนึ่งมีเด็กนักเรียนซ้อน 3 ไปเกี่ยวรถล้ม เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ได้กระซิบว่านักเรียนทั้งสามไม่สวมกางเกงใน ซึ่งทีแรกคิดว่าเด็กอาจลืมใส่ แต่เมื่อสอบถาม ทั้ง 3 ยอมรับว่าตั้งใจไม่สวมกางเกงใน เพราะเป็นค่านิยมที่รับมาจากโทรทัศน์และเพื่อนโรงเรียนเดียวกัน จะตั้งแก๊งกันขึ้นมา บางกลุ่มถึงกับย้อมขนในที่ลับให้เป็นสีต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดมานานแล้วเช่นกัน แต่ไม่สามารถติดตามเรื่องนี้ได้  เพราะเป็นเรื่องที่ไม่ใช่ในที่โล่งแจ้ง จะไปขอดูก็ไม่ได้ และจากการสอบถามนักเรียนหญิง 3 คนนั้นบอกว่า ทำตามแฟชั่นของนักร้องที่นุ่งสั้นในโทรทัศน์ และผู้หญิงเหล่านี้จะสวมกระโปรงสั้นชอบนั่งคร่อมรถจักรยานยนต์ โดยซ้อน 3 คน และถลกกระโปรงขึ้นมาด้วย เท่าที่สอบถามเด็ก ทราบว่าสาเหตุที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อต้องการโชว์เพื่อนร่วมแก๊ง เฉพาะกลุ่มของเด็ก 3 คนนี้ มีอยู่ 10 กว่าคน เพราะเรียนอยู่ในห้องเดียวกัน


นอกจากนี้ นายสมพงศ์ยังระบุอีกว่า เด็กที่นิยมทำมีตั้งแต่ระดับมัธยมต้นจนถึงระดับ ปวช.

ขณะนี้ยังทำอะไรไม่ได้ เพราะเกี่ยวกับสิทธิส่วนบุคคล แต่เบื้องต้นคงต้องให้ผู้ปกครองเป็นผู้ตรวจสอบบุตรหลานตนเอง  เคยพูดติดตลกกับผู้ปกครองเมื่อคราวได้รับเชิญเป็นวิทยากรว่า ก่อนเด็กออกจากบ้านขอร้องให้ผู้ปกครองช่วยตรวจสอบด้วยว่าเด็กใส่กางเกงในออกจากบ้านไปหรือไม่ ซึ่งผู้ ปกครองก็หัวเราะ อย่างไรก็ดี เท่าที่ตรวจสอบเบื้องต้น พบว่าเด็กที่ประพฤติตัวเช่นนี้มักเป็นเด็กที่ครอบครัวผู้ปกครองแตกร้าว พ่อแม่แยกทางกัน เด็กจะอยู่กับญาติ ย่า ยาย ทำให้ไม่มีเวลาดูแล เรื่องนี้ไม่สามารถตอบได้ว่า มีจำนวนนักเรียนทำเช่นนี้มากหรือน้อย ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ต้นปี 2550 สำหรับตนคิดว่าปัจจุบันยังคงมีอยู่ เพราะเรื่องแบบนี้ตรวจสอบยาก


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์