โพลเชื่อ 3 เดือนข้างหน้าเศรษฐกิจไทยกระเตื้อง

เมื่อวันที่ 14 ก.ค. ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ(กรุงเทพโพลล์) เผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานด้านการวิเคราะห์

วิจัยเศรษฐกิจระดับชั้นนำของประเทศ จำนวน 25 แห่ง เรื่อง "ดัชนีคาดการณ์เศรษฐกิจไทย"  โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่  9-12  ก.ค. ที่ผ่านมา  พบว่า ดัชนีคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในอีก 3 เดือนข้างหน้า (ตุลาคม 53) อยู่ที่ 72.19  ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่า 50 แสดงให้เห็นว่านักเศรษฐศาสตร์มีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยในอีก 3 เดือนข้างหน้าจะปรับตัวดีขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับปัจจุบัน (ก.ค.) ทั้งนี้นักเศรษฐศาสตร์มีความเห็นต่อสถานะทางเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบันว่ายังคงอยู่ในสถานะที่อ่อนแอเห็นได้จากค่าดัชนีอยู่ที่ระดับ 42.16  ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่า 50 

    
เมื่อพิจารณาในแต่ละปัจจัยขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจในอีก 3  เดือนข้างหน้าพบว่านักเศรษฐศาสตร์มีมุมมองเชิงบวก

เห็นได้จากค่าดัชนีคาดการณ์ฯ ที่อยู่ในระดับสูงกว่า 50  ในทุกปัจจัย  โดยเฉพาะปัจจัยด้านการท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่นักเศรษฐศาสตร์มีความเชื่อมั่นค่อนข้างมากว่าจะปรับตัวดีขึ้น ค่าดัชนีเท่ากับ  81.88  รองลงมาเป็นปัจจัยการบริโภคภาคเอกชน  การลงทุนภาคเอกชน และการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ  ในขณะที่ปัจจัยด้านการส่งออกแม้ว่าค่าดัชนีคาดการณ์ฯ จะอยู่ในระดับ  63.57  ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่า 50  แต่ค่าดัชนีก็อยู่ในระดับที่ต่ำที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับปัจจัยขับเคลื่อนอื่นจึงอาจสื่อให้เห็นว่าบทบาทการขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านการส่งออกในอีก 3 เดือนข้างหน้าอาจปรับตัวลดลง 

    
สำหรับการประเมินสภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในอีก 3 เดือนข้างหน้า 

พบว่า  ปัจจัยที่จะส่งผลด้านลบที่สำคัญคือ วิกฤติหนี้สาธารณะของยุโรป หรือ ร้อยละ 61.4 รองลงมาเป็นปัญหาด้านการเมือง ร้อยละ 42.9  ตามด้วยเศรษฐกิจโลกโดยภาพรวม ร้อยละ 38.6  ส่วนปัจจัยที่จะส่งผลด้านบวกที่สำคัญคือความเชื่อมั่นผู้บริโภค ร้อยละ 61.4  รองลงมาเป็นความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ ร้อยละ 58.6 ตามด้วยการปรับค่าเงินหยวนของจีน ร้อยละ 50.0


สำหรับความเห็นเกี่ยวกับ แนวคิดของรัฐบาลที่จะปรับเปลี่ยนมาตรการบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชนมาเป็นการให้บริการสังคมฟรีระยะยาวนั้น 

นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ  51.4  เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว  ในจำนวนนี้  เห็นด้วยกับมาตรการรถเมล์ฟรีมากที่สุด ร้อยละ 21.7 รองลงมาเป็นมาตรการรถไฟฟรี ร้อยละ 20.3  และค่าไฟฟ้าฟรี ร้อยละ 9.4  ตามลำดับ ขณะที่ร้อยละ  40.0  ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว

    

นอกจากนี้  นักเศรษฐศาสตร์ได้ให้ข้อเสนอแนะด้านเศรษฐกิจ  โดยในระยะสั้น ภายใน 1 ปี เสนอให้ รัฐบาลรักษามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไว้ก่อน 

และเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณให้ได้ตามแผนที่วางไว้  ส่วนนโยบายการเงินนั้นเสนอให้รักษาระดับอัตราดอกเบี้ยต่ำไว้อีกสักระยะก่อน  นอกจากนี้  เสนอให้ตัดโครงการประชานิยมที่ไม่ส่งผลต่อประชาชนที่เดือดร้อนจริงแต่ควรให้โอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรและปัจจัยการผลิตมากกว่า ส่วนระยะยาว มากกว่า 1ปี เสนอให้ดำเนินการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมด้วยการสร้างความเป็นธรรมทางทางเศรษฐกิจผ่านแนวทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น  การกระจายรายได้ที่เป็นธรรม การนำระบบรัฐสวัสดิการมาใช้ การส่งเสริมภาคการเกษตร การสร้างงานในท้องถิ่นเพื่อลดการเคลื่อนย้ายคนเข้าเมือง เป็นต้น ผลที่ตามมานอกจากความเหลื่อมล้ำที่ลดลงแล้วยังจะช่วยเพิ่มอำนาจซื้อของคนในประเทศ  อันจะช่วยลดการพึ่งพาตลาดต่างประเทศได้อีกด้วย


เครดิต :
เครดิต : เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์ข่าวสด


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์