แม่ทัพ 3 ยัน พร้อมยกพลเข้ากรุงได้ใน 2 ชม.

สืบเนื่องจากกรณีที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. และประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) และ พล.อ.วินัย ภัททิยกุล ปลัดกลาโหมและเลขาธิการคมช. ได้เข้าพบ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ที่ห้องทำงานตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล โดยนายกฯระบุว่ามาหารือเรื่องความมั่นคง แต่ไม่ใช่เรื่องคลื่นใต้น้ำ ในขณะที่ พล.อ.บุญรอด สมทัศน์ รมว.กลาโหม ระบุว่า การเคลื่อนไหวทางการเมืองมีอยู่หลายพื้นที่ทั้งภาคเหนือ กลาง และอีสาน โดยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกำลังทำความเข้าใจอยู่

ลือทหารภาค 3 เคลื่อนกำลังเข้ากรุง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 24 ตค. ที่ผ่านมา ได้เกิดกระแสข่าวแพร่สะพัดว่า กองทัพภาคที่ 3 มีคำสั่งให้กำลังทหารจากกรมทหารราบที่ 4 จ.นครสวรรค์ จำนวน 1 กองพัน เคลื่อนย้ายกำลังเข้ามาใน กทม.เพื่อเตรียมรับสถานการณ์การเคลื่อนไหวกลุ่มต่างๆ พร้อมกับมีข่าวแพร่ สะพัดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ตัดสินใจจะเดินทางกลับประเทศไทยในเร็วๆนี้ โดยมีกลุ่มผู้สนับสนุนรวมตัวเพื่อไปให้กำลังใจ ทั้งนี้ กำลังทหารดังกล่าวทยอยเดินทางโดยรถบัสจาก จ.นครสวรรค์ โดยทิ้งระยะห่างกันเป็นช่วงๆ โดยจะไปพักเตรียมพร้อมที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) อย่างไรก็ตาม เมื่อข่าวแพร่สะพัดออกไป กองทัพภาคที่ 3 จึงได้แจ้งให้กำลังทั้งหมดที่เดินทางถึง จ.พระนครศรีอยุธยา กลับที่ตั้งหน่วยทั้งหมด

พล.ท.จิรเดช คชรัตน์ แม่ทัพภาคที่ 3 กล่าวถึงกรณีที่มีการเคลื่อนกำลังทหารจากจังหวัดนครสวรรคเข้า กทม.เพื่อสกัดการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้สนับสนุน พ.ต.ท. ทักษิณ ว่า เป็นการเข้าใจผิดทางด้านการข่าว ข้อเท็จจริงไม่มีการเคลื่อนกำลังแต่อย่างใด เป็นเพียงการตรวจความพร้อมในระดับกองพัน เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย หากเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นก็สามารถเคลื่อนกำลังออกมาจากหน่วยเพื่อมาปฏิบัติงานได้ภายใน 2 ชม. โดยกำลังดังกล่าวอยู่ในการควบคุมของกรมทหารราบที่ 4 จ.นครสวรรค์ หากจะใช้กำลังทหารเข้ามาควบคุมสถานการณ์หรือกลุ่มผู้ชุมนุม ทาง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. ในฐานะประธาน คมช. ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังจากกองทัพภาคที่ 3 เนื่องจากกำลังทหารของกองทัพภาคที่ 1 และหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ มีเพียงพอและสามารถปฏิบัติการตามคำสั่งได้ทันที รวมถึงระยะทางในการเดินทางเข้า กทม. สามารถปฏิบัติได้เร็วกว่าการนำกำลังมาจากกองทัพภาคที่ 3

4 ภารกิจหลักของกองทัพภาคที่ 3

ภารกิจของกองทัพภาคที่ 3 ที่ได้รับจากผู้บังคับบัญชาในการควบคุมดูแลกลุ่มที่อาจจะเคลื่อนไหวต่อต้าน คมช.นั้น หลักๆก็คือการรักษาความสงบฯ โดยเฉพาะ 1. สถานที่ราชการและบุคคลสำคัญ 2. สร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ 3. สร้างความสามัคคีให้เกิดกับคนในชาติ โดยเฉพาะในภาคเหนือ 4. ให้ความรู้เรื่องระบอบประชาธิปไตยกับประชาชน ที่ประชาธิปไตยไม่ใช่แค่เรื่องการเลือกตั้งเท่านั้น ต้องให้ประชาชนรู้ถึงสิทธิ หน้าที่ตามระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง แม่ทัพภาคที่ 3 กล่าว

เมื่อถามว่ามีการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่อต้าน หรือ คลื่นใต้น้ำในพื้นที่ของกองทัพภาคที่ 3 บ้างหรือไม่ พล.ท.จิรเดชตอบว่าเป็นเรื่องธรรมดาก็ต้องมีบ้าง แต่เป็นในลักษณะใบปลิวโจมตี หรือการโทรศัพท์มาแจ้งว่ามีการประชุมเพื่อเตรียมการเคลื่อนไหว ได้ตรวจสอบข่าวกลับไปกลายเป็นว่า เป็นการชุมนุมของบรรดาครูเพื่อรวมตัวกันจะไปเที่ยวงานพืชสวนโลก และมีบุคคลที่สอบตกไม่ได้เป็นสมาชิก อบต. โทรศัพท์มาแจ้งว่า มี อบต.นัดประชุม ข้อเท็จจริงแล้วเป็นการประชุมเรื่องงบประมาณของ อบต.นั้นๆ ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวต่อต้านทางการเมืองแต่อย่างใด

ผมไม่ได้ไว้วางใจ 100% ต้องตรวจสอบข่าวอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเคลื่อนไหวของอดีต ส.ส.ในพื้นที่ บางรายก็จะโทรศัพท์มาคุยกับผมเป็นประจำ หากมีอะไรให้ช่วยเหลือก็สามารถแจ้งมาได้ แม่ทัพภาคที่ 3 กล่าวและว่า ส่วนนายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีต รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ คิดว่าคงไม่กล้าออกมาเคลื่อนไหว ขณะนี้ก็เก็บตัวเงียบไม่ได้ติดต่อมาหาแต่อย่างใด

นายกฯไม่เชื่อข่าวทหารเคลื่อนกำลัง

พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสข่าวว่ากำลังพลของกองทัพภาคที่ 3 เคลื่อนเข้ามาในกรุงเทพฯ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับคลื่นใต้น้ำที่อาจจะเกิดขึ้นว่า ไม่ได้รับข่าวนี้ และก็คงเป็นเรื่องของ คมช. คิดว่ามันไม่ได้มีความจำเป็น มันอาจจะเป็นข้อมูลซึ่งคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เพราะว่าถ้าเข้ามาก็ไม่มีที่อยู่อยู่แล้วในกรุงเทพฯ ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน เมื่อถามว่าเป็นเพราะมีความเคลื่อนไหวในการก่อความวุ่นวายหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์ตอบว่า คิดว่าคงไม่ใช่ ไม่ได้รับข้อมูลในส่วนนี้

พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผบ.ทหารสูงสุด และสมาชิกคณะความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) กล่าวว่า ความเคลื่อนไหวทางการเมืองเรื่องคลื่นใต้น้ำ ถือเป็นภัยแบบหนึ่งที่ต้องเฝ้าระวัง เพราะสังคมทุกสังคมมีคนหลายๆแบบ มีความสนใจและผลประโยชน์หลายอย่าง เราต้องระวัง ถือเป็นเรื่องธรรมดา ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ทางด้านความมั่นคงก็คงต้องดูอยู่ เมื่อถามว่าคลื่นใต้น้ำเกี่ยวข้องกับนักการเมืองหรือไม่ พล.อ.บุญสร้างตอบว่า เรากำลังดูอยู่ ส่วนเรื่องรายละเอียดต้องรอความชัดเจน เมื่อถามว่าการผ่อนปรนประกาศ คปค.ฉบับที่ 7 จะเป็นต้นเหตุของการออกมาเคลื่อนไหวหรือไม่ พล.อ.บุญสร้างตอบว่า เป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเราผ่อนปรนอะไรไป ก็ต้องค่อยๆผ่อน ถ้าผ่อนแล้วรู้สึกว่าหนักไปหน่อย เราก็จะหยุดผ่อน เมื่อถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ถ้าหากมีการเคลื่อนไหวมากๆ เราอาจจะมีการพิจารณายกเลิกการผ่อนปรน พล.อ.บุญสร้างตอบว่า คิดว่าที่เขาผ่อนปรนให้ เขาก็ไม่ได้ปล่อยไปทีเดียวอยู่แล้ว คาดว่าน่าจะควบคุมได้ ก็อยากขอความร่วมมือ อยากให้สื่อฯ ช่วยกันประชาสัมพันธ์

มหาดไทยยังไม่รู้เรื่องคลื่นใต้น้ำ

นายอารีย์ วงศ์อารยะ รมว.มหาดไทย กล่าวถึงกรณีการเคลื่อนไหวทางการเมืองจนทำให้เกิดคลื่นใต้น้ำขึ้นว่า กระทรวงมหาดไทยมีหน้าที่จะต้องดูแลประชาชนในระดับตำบลและหมู่บ้านอยู่แล้ว จำเป็นที่จะต้องสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้ได้รับข้อมูลที่เป็นจริงและส่งเสริมให้เกิดความรักแผ่นดิน ต่อข้อถามว่าได้รับทราบข้อมูลที่ รมว.กลาโหมระบุว่า มีความพยายามก่อคลื่นใต้น้ำในพื้นที่อีสานและเหนือ นายอารีย์ตอบว่า กระทรวงมหาดไทยยังไม่ได้รับข้อมูลและไม่ทราบมาก่อน ทางฝ่ายปกครองยังไม่ได้รายงานมา

นายพงศ์โพยม วาศภูติ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ได้กำชับให้ฝ่ายปกครองทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ต่างๆ รวมทั้งดูแลสังเกตการณ์อยู่ตลอด ซึ่งหากมีพื้นที่ใดมีความไม่เข้าใจก็ขอให้ทำความเข้าใจในข้อเท็จจริง รวมทั้งได้ให้ประสานข้อมูลกับกองทัพด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันเดียวกัน คุณหญิงพจมานชินวัตร ภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ประสานจะขอเข้าพบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ ในเวลา 09.00น. วันที่ 26 ต.ค. โดยคุณหญิงพจมานจะไปพร้อมกับทนาย

ความของตระกูลชินวัตร โดยการเข้าพบ พล.อ.เปรม ของคุณหญิงพจมานในครั้งนี้ น่าจะเป็นเรื่องการขอเดินทางกลับประเทศไทยของ พ.ต.ท.ทักษิณ และการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของตระกูลชินวัตร

แหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ