เศรษฐกิจปีวัวสาหัสกว่าที่คิด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า
 
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จัดสัมมนาหัวข้อ “เศรษฐกิจไทยภายใต้รัฐบาลใหม่ จะฟื้นหรือฟุบ?” โดยนายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า มีความเป็นห่วงเศรษฐกิจไทยปี 52 ว่าจะเกิดปัญหารุนแรงกว่าที่คิด และมีโอกาสที่จีดีพีติดลบ 2% ได้ หากวิกฤติเศรษฐกิจโลกยังย่ำแย่ รวมถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และรัฐบาลขาดเสถียรภาพ โดยเฉพาะช่วงครึ่งปีแรกมีความเป็นได้สูงว่าเศรษฐกิจถดถอยลง 2-3%

“แม้มหาวิทยาลัยหอการค้าจะมองแง่ดีว่าเศรษฐกิจปีวัวจะขยายตัวได้ 1% แต่ก็กังวล ว่าจะติดลบได้ และตอนนี้มีโอกาสติดลบถึง 25% แล้ว ดังนั้นรัฐบาลต้องมีนโยบายแก้ที่แรงและเร็วกว่าเดิม ทั้งนโยบายการคลังผ่านงบกระตุ้น เศรษฐกิจ 300,000 ล้านบาท ควบคู่กับนโยบายการเงิน ช่วยลดดอกเบี้ยให้ภาคธุรกิจอีก 0.75-1.0% ขณะเดียวกันรัฐควรใช้นโยบายประชานิยมของรัฐบาลเข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย เช่น กองทุนหมู่บ้าน 6 มาตรการ 6 เดือน เพื่อให้ภาคประชาชนมีเงินใช้จ่ายหมุนเวียน มากกว่ากระตุ้นผ่านภาคธุรกิจอย่างเดียว ที่เงินอาจไม่ถึงมือประชาชนเต็มเม็ดเต็มหน่วย

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้บริหารสถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า
 
ต้องการให้รัฐบาลเพิ่มความรอบคอบในการนำงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะหากกระตุ้นไม่ตรงจุดจะทำให้เศรษฐกิจย่ำแย่ลงอีก โดยเห็นว่างบกระตุ้นก้อนแรก 100,000 ล้านบาท เป็นนโยบายที่เน้นแก้ปัญหาปลายทางให้คนรากหญ้าบางกลุ่มเพื่อช่วยเพิ่มเสถียรภาพการเมืองเป็นหลัก แต่ไม่ได้เน้นแก้ปัญหาต้นเหตุ ดังนั้นงบกระตุ้นรอบต่อไป รัฐบาลควรนำเงินกระตุ้นตรงต่อภาคธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการส่งออก ท่องเที่ยว สินค้าเกษตร หรือภาคการผลิต ที่กำลังเกิดปัญหาตอนนี้

“สังคมเริ่มตั้งคำถามแล้วว่า เงินกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐกำลังใส่ลงไปแก้ตรงจุดหรือไม่ ไม่เช่นนั้นอาจเหมือนสหรัฐอเมริกาที่ใส่เงินลงไปแล้ว แต่เศรษฐกิจยังไม่ดีขึ้น และต่อไปใน 3-4 เดือนข้างหน้า ถ้าเศรษฐกิจโลกแรงขึ้นอีก ไทยจะไม่มีงบมากระตุ้นเศรษฐกิจได้อีก ซึ่งจะทำให้เกิดวิกฤติขึ้นตามมาอีกมาก จากนี้รัฐควรต้องออกมาตรการกระตุ้นที่เข้าเป้า ไม่ใช่ทำแบบสะเปะสะปะ หรือหวังผลด้านการเมืองเหมือนก่อน”

ทั้งนี้วิกฤติเศรษฐกิจโลกครั้งนี้รุนแรงมากที่สุดในรอบ 80 ปี และขณะนี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มซึ่งคาดว่า

จะมีปัญหาเศรษฐกิจตามมาและไม่จบภายในครึ่งปีนี้แน่ โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐกว่าจะฟื้นน่าจะใช้เวลานานเป็นปี ซึ่งกระทบต่อเศรษฐกิจไทยทั้งอุตสาหกรรม ท่องเที่ยว และเกษตรอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยเสนอว่ารัฐอาจเสนอขอให้ยกเลิกวินัยการคลังชั่วคราว 1-2 ปี

นางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า

การดำเนินนโยบายประชานิยม หากเป็นนโยบายที่ดีรัฐควรส่งเสริมต่อ เพราะวิกฤติโลกที่เกิดขึ้นตอนนี้ ถ้ารัฐบาลมีนโยบายแก้ปัญหาต่อเนื่องจะแก้ได้เร็วกว่าการเปลี่ยนนโยบายไปมาจนขาดความน่าเชื่อถือ ขณะเดียวกัน ต้องการให้รัฐแก้ปัญหาความยากจน และการกระจุกรายได้ด้วย เพราะตอนนี้ไทยมีคนจนที่มีรายได้ 1,143 บาทต่อเดือนอยู่หลายล้านคน หากไม่แก้ไขต่อไปจะกลายเป็นปัญหาสังคมตามมาอีก

นายปรเมธี วิมลศิริ ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงานสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า

ตลอดปี 52 ไทยจะต้องเผชิญกับการหดตัวของกำลังซื้อทั่วโลกทำให้การส่งออกลดลงมาก และอาจต้องประสบปัญหาเงินฝืด เพราะประชาชนใช้จ่ายน้อยลง ดังนั้นภาพรวมเศรษฐกิจ โลกปีนี้จะโต 0-0.5% และสศช.จะมีการประกาศประมาณการเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการในเดือน ก.พ. ซึ่งเสี่ยงจะลดลงจากเดิมที่คาดไว้ 1.5-2.5%.

เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์