เตือนอันตราย...เครื่องสำอางพิษงู

คมชัดลึก : ถึงแม้ว่าที่ผ่านมา "คม ชัด ลึก" จะรายงานเตือนถึงอันตรายจาก "สเต็มเซลล์" (stem cell) นำเข้าจากต่างประเทศ ที่ประกาศขายผ่านเว็บไซต์ของไทยกว่า 8,000 แห่ง โดยสินค้าเกือบทั้งหมดเป็นการโกหกหลอกลวงประชาชน โดยมีข้อความโฆษณาชวนเชื่อว่า


เมื่อฉีด ทา หรือกินสเต็มเซลล์แล้วจะช่วยให้ผิวหนังและใบหน้าเต่งตึงเหมือนทารกอีกครั้ง กระทั่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)

ออกมาประกาศว่าสเต็มเซลล์หรือเซลล์ต้นกำเนิดเป็นสินค้าควบคุม ผู้ใดผลิตหรือนำเข้าจากประเทศมาฉีดให้คนไข้ต้องขออนุญาต หากฝ่าฝืนมีโทษทั้งจำและปรับ แต่ก็ยังมีสินค้าประเภทนี้ออกมาจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุดดูเหมือนว่าคำประกาศิตจาก อย.กำลังได้รับการท้าทายจากกลุ่มผู้จำหน่ายเครื่องสำอางผ่านอินเทอร์เน็ต เมื่อมีการโฆษณาชวนเชื่อผ่านเว็บไซต์และข้อความตามเว็บบอร์ดเกือบ 2,000 แห่ง ที่ประกาศขายสารสเต็มเซลล์รูปแบบใหม่ โดยอวดอ้างสรรพคุณว่าเป็นเครื่องสำอางผสมสเต็มเซลล์จาก "แอปเปิ้ล" และ "พิษงู" มีคุณสมบัติมหัศจรรย์ช่วยทำให้ผิวหน้ากระชับเต่งตึง ต่อต้านริ้วรอยเหี่ยวย่น พร้อมเขียนข้อความกำกับเอาไว้ด้วยว่า พิษงูไม่เป็นอันตรายเพราะเป็นการสกัดเอาโปรตีนขนาดเล็กมาใช้ โดยเฉพาะพิษงูแมวเซาจะมีคุณสมบัติในการออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อ ทำให้รอยย่นที่ขอบตาและมุมปากหายไป


สินค้าที่อ้างว่าเป็น "สเต็มเซลล์ผสมพิษงู" มีหลากหลายยี่ห้อ บางรายก็บอกว่าสั่งตรงมาจากยุโรป เป็นสารสกัดโปรตีนจากพิษของงู "ทรอปิโดเลมัส แวกเลรี" (Tropidolaemus wagleri)

บางยี่ห้อก็มีหน้าสาวสวยแปะติดระบุว่าเมดอินไทยแลนด์ แต่ส่วนใหญ่จะอ้างเหมือนกันว่านำเข้าจากต่างประเทศ เป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด และได้รับการรับรองว่าปลอดภัยจากประเทศผู้ผลิต โดยตั้งราคาขายผ่านเว็บไซต์ 500-1,200 บาทต่อ 1 ขวด เช่น ขวดเล็กขนาดไม่เกิน 5 ซีซี จะมีราคา 500 หรือ 700 บาท ส่วนขวดใหญ่ปริมาณ 10 ซีซี จะขายหลักพันบาทขึ้นไป


ผศ.พญ.สุวิรากร โอภาสวงศ์ ประชาสัมพันธ์สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย ให้ความรู้ว่า สเต็มเซลล์เป็นสารที่สกัดได้จากรกแกะ รกเด็ก หรืออวัยวะต่างๆ ของร่างกายมนุษย์

ในวงการแพทย์วิจัยสเต็มเซลล์มานานหลายสิบปี และอนุญาตให้ใช้สเต็มเซลล์รักษาโรคเกี่ยวกับเลือดเท่านั้น เช่น มะเร็งในเม็ดเลือด หรือธาลัสซีเมีย เพราะการนำสเต็มเซลล์มารักษาโรคอื่นยังมีอันตรายอยู่มาก เคยมีการทดลองฉีดสเต็มเซลล์เข้าเซลล์ผิวหนัง ปรากฏว่าสเต็มเซลล์แบ่งตัวเพิ่มมากขึ้นผิดปกติและไม่มีวิธีควบคุม หากเซลล์ที่ฉีดเข้าไปที่ใบหน้าหรือผิวหนังเติบโตหรือแบ่งตัวไม่หยุด จะกลายเป็นมะเร็งทำให้ใบหน้าหรือบริเวณที่ฉีดกลายเป็นก้อนเนื้อผิดปกติปูดขึ้นมาได้  


ส่วนเรื่องการนำพิษงูมาผสมกับสเต็มเซลล์ เพื่อทำเป็นเครื่องสำอางบำรุงผิวนั้น แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังยอมรับว่าเคยได้ยินมาบ้าง

แต่หากพิจารณาแล้วไม่น่าจะใช่สเต็มเซลล์ของจริง เพราะการเก็บรักษาสารสกัดสเต็มเซลล์ลงทุนสูง ต้องเก็บไว้ในที่เย็นจัดตลอดเวลา ไม่สามารถบรรจุในหลอดหรือกล่องทั่วไปได้ ส่วนพิษงูนั้นเคยมีงานวิจัยจากสวิตเซอร์แลนด์ นำพิษงูมาทำเป็นคอสเมติกหรือเครื่องสำอาง แต่เป็นในรูปแบบของสารโบทูลินั่มท็อกซิน ช่วยรักษาอาการกระตุกที่ผิดปกติของกล้ามเนื้อ แต่ไม่ได้ช่วยให้ผิวหน้าเปล่งปลั่ง หรือรักษาริ้วรอยเหี่ยวย่นตามที่เว็บไซต์ขายสินค้าเหล่านั้นกล่าวอ้าง


ไม่น่าเชื่อว่าจะมีผู้นำพิษงูซึ่งเป็นสารอันตรายมาผสมในเครื่องสำอางทาหน้า หากวิเคราะห์องค์ประกอบของพิษงูแล้วจะพบว่า เป็นของเหลวสีเหลืองอ่อนประกอบด้วยสารพิษรวมกันกว่า 20 ชนิด


ทั้งนี้ พิษของงูแต่ละชนิดจะเข้าไปทำลายอวัยวะมนุษย์ต่างกัน แบ่งตามอาการได้ 3 ประเภทใหญ่ คือ 1.พิษงูที่มีฤทธิ์ต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ พบในงูเห่า งูจงอาง งูสามเหลี่ยม ฯลฯ อาการของคนที่งูประเภทนี้กัด ระบบประสาทจะถูกทำลาย พูดไม่ได้ ยกแขนขาไม่ได้ หายใจขัด 2.พิษงูที่มีฤทธิ์ต่อระบบเลือด ทำให้ลิ่มเลือดกระจาย เลือดไหลออกตามอวัยวะต่างๆ พบในงูแมวเซา งูกะปะ และงูเขียวหางไหม้ 3.พิษงูที่มีฤทธิ์ต่อระบบกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อปวดและตาย หรือเป็นอัมพาต และทำให้เกิดอาการไตวาย พบในงูทะเล


ศ.นพ.วิศิษฎ์ สิตปรีชา ผู้อำนวยการสถานเสาวภา สภากาชาดไทย ยืนยันว่า ไม่เคยได้ยินว่ามีการนำพิษงูไปสกัดหรือดัดแปลงทำเป็นสารผสมในเครื่องสำอางมาก่อน


เพราะพิษงูมีอันตรายมาก ต่อให้นำมาสัมผัสร่างกายเพียงนิดเดียว อาจทำให้ไตวายหรือเป็นอัมพาตได้ในทันที ขึ้นอยู่กับว่าเป็นพิษของงูประเภทใด เช่น งูแมวเซาจะทำลายระบบเลือด ทำให้เลือดออกจากอวัยวะต่างๆ หรือบางคนอาจไตวายก็ได้ จึงไม่น่าเชื่อว่าจะมีการนำพิษงูไปใช้ผสมทำเป็นเครื่องสำอางขายจริง


ด้าน นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการ อย.กล่าวถึงปัญหาการขายสินค้าที่อ้างว่าเป็นสเต็มเซลล์ผ่านเว็บไซต์ว่า อย.ถือเป็นความผิดร้ายแรง

ที่ผ่านมากลุ่มคนขายอาศัยช่องโหว่ของกฎหมาย เพราะตอนนั้นยังไม่ได้นิยามชี้ชัดว่าสเต็มเซลล์เป็นอะไรกันแน่ แต่เมื่อเดือนเมษายน 2552 ที่ผ่านมา อย.ประกาศให้ผลิตภัณฑ์เซลล์ต้นกำเนิดถือว่าเป็นยา ต้องมีการควบคุมอย่างเคร่งครัด จะผลิตหรือนำเข้ามาขายในประเทศไทย ต้องขอขึ้นทะเบียนตำรับยา ไม่สามารถอ้างเป็นเครื่องสำอางได้


"ตอนนี้มีทั้งโฆษณาชวนเชื่อ อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง อย.ออกข่าวเตือนหลายครั้งแล้วว่า ในวงการแพทย์ไม่มีงานวิจัยยืนยันว่าสเต็มเซลล์รักษาโรคให้หายขาดได้ และอาจมีผลข้างเคียงจากการรักษา ยิ่งเรื่องเอาสเต็มเซลล์มาผสมเป็นเครื่องสำอางแล้วโฆษณาว่าทำให้ขาวขึ้น สวยขึ้นนั้น ไม่มีงานวิจัยพิสูจน์หรือยืนยันว่าใช้ได้จริง ตอนนี้เจ้าหน้าที่ อย.เริ่มเก็บข้อมูลผู้ค้าขายสินค้าสเต็มเซลล์ผิดกฎหมายเหล่านี้ไว้แล้ว ทั้งผ่านทางเว็บไซต์ ในคลินิก และตามโรงพยาบาล เมื่อได้ข้อมูลครบถ้วนก็จะเข้าจับกุมและปราบปรามครั้งใหญ่ เพราะถือเป็นภัยร้ายแรงต่อคนไข้และผู้บริโภค" นพ.พิพัฒน์ กล่าว


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์