เก็บศพแจ๊กสัน เนเวอร์แลนด์


เก็บศพ "ไมเคิล แจ๊กสัน" ไว้เนเวอร์แลนด์ ครอบครัวเตรียมจัดขบวนแห่ 30 คันรถไปยังบ้านเก่าราชาเพลงป๊อป และเปิดให้แฟนเพลงเข้าไว้อาลัยวันเสาร์นี้ สื่อมะกันแฉแจ๊กสันจงใจใช้ยาร่วมกันหลายขนาน เพื่อให้ตัวเองป่วยจะได้ไม่ต้องเล่นคอนเสิร์ตหลายรอบ โดยไม่ต้องเสียค่าปรับ แต่สุดท้ายตายจริง

เมื่อวันที่ 1 ก.ค. สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น ประเทศสหรัฐอเมริกา รายงานว่า แหล่งข่าวในหน่วยงานตำรวจรัฐแคลิฟอร์เนีย เปิดเผยว่า วันพฤหัสบดีที่ 2 ก.ค. ตรงกับวันที่ 3 ก.ค. ตามเวลาประเทศไทย ครอบครัวไมเคิล แจ๊กสัน ราชาเพลงป๊อปผู้ล่วงลับวัย 50 ปี มีแผนจัดพิธีแห่ขบวนศพแจ๊กสันอย่างยิ่งใหญ่ ประกอบด้วยขบวนรถประมาณ 30 คัน เดินทางออกจากตัวเมืองลอสแองเจลิส ไปยังคฤหาสน์เนเวอร์ แลนด์ บ้านเก่าแจ๊กสันในเขตซานตาบาร์บาราเคาน์ตี้ และจะเปิดให้ประชาชนเข้าไว้อาลัยในวันเสาร์ที่ 4 ก.ค.

สำหรับสถานที่ฝังศพแจ๊กสันยังไม่มีข้อมูลว่าจะเป็นสถานที่ใด เบื้องต้นนายรูดี้ เคลย์ นายกเทศมนตรีเมืองแกรี่ รัฐอินเดียน่า พยายามติดต่อขอให้ครอบครัวนำศพแจ๊กสันมาฝังที่เมืองแห่งนี้ เพราะเป็นบ้านเกิด หรือถ้าไม่สะดวกก็ขอให้นำศพนักร้องซูเปอร์สตาร์มาจัดพิธีไว้อาลัยในฐานะลูกหลานผู้สร้างชื่อเสียงให้กับเมืองนี้จนเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก นอกจากนั้นนายเคลย์ยังประสานนายโจ บิดาแจ๊กสัน เพื่อสร้างพิพิธภัณฑ์รำลึกถึงแจ๊กสันในเมืองแกรี่อีกด้วย

หนังสือพิมพ์เดอะซัน สื่อสิ่งพิมพ์หัวสีชื่อดังของอังกฤษ ที่เกาะติดข่าวแจ๊กสันมาโดยตลอด รายงานว่า แหล่งข่าวในครอบครัวแจ๊กสันระบุว่า ทั้งนายโจและนางแคทเธอรีน พ่อแม่แจ๊กสัน รวมถึงญาติๆ ต้องการจัดพิธีแห่ขบวนศพแจ๊กสันอย่างยิ่งใหญ่ให้เหมือนงานฝังพระศพเจ้าชาย โดยเตรียมนำโลงศพหรือโลงแก้ววางบนรถม้าและค่อยๆ ขับไปเพื่อให้แฟนเพลงได้ร่วมอาลัยตลอดสองข้างทางไปจนถึงคฤหาสน์เนเวอร์แลนด์

ทั้งนี้ คฤหาสน์เนเวอร์แลนด์ มีเนื้อที่ 6,000 กว่าไร่ แจ๊กสันซื้อที่ดินผืนนี้จากนายวิลเลียม โบน นักธุรกิจสนามกอล์ฟ เข้าพักอาศัยเมื่อปี 2531 แต่เดือนก.พ.2551 บริษัทไฟแนนเชียล ไทเทิ้ล คอมปานีย์ ขู่บังคับยึดทรัพย์และนำ เนเวอร์แลนด์ขายทอดตลาด หากแจ๊กสันไม่ยอมชำระหนี้มูลค่าราว 857 ล้านบาท ภายในวันที่ 19 มี.ค. กระทั่งวันที่ 12 มี.ค. บริษัทโคโลนี่ แคปปิตอล ของนายทอม บาร์แร็ก มหาเศรษฐีอสังหาริมทรัพย์ เข้ามาช่วยซื้อหนี้ดังกล่าว ทำให้เนเวอร์แลนด์รอดพ้นหายนะหวุดหวิด

ต่อมา แจ๊กสันกับบริษัทโคโลนี่ แคปปิตอล ตกลงจัดตั้งบริษัทไซเคมอร์ แวลลีย์ แรนช์ ขึ้นมาดูแลผลประโยชน์ในเนเวอร์แลนด์ แต่ไม่มีข้อมูลว่าฝ่ายแจ๊กสันถือหุ้นอยู่เท่าไหร่ นอกจากนั้น มีข่าวว่าสาเหตุที่ราชาเพลงป๊อปตัดสินใจย้ายออกจากเนเวอร์แลนด์ถาวร เพราะทนแบกรับความเจ็บช้ำใจไม่ไหว เนื่องจากภายในคฤหาสน์หลังนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวข่าวอื้อฉาวเกี่ยวกับคดีล่วงละเมิดทางเพศเด็กชาย ซึ่งแจ๊กสันต้องเผชิญจนเครียดจัด และเป็นที่มาที่ทำให้ต้องหันไปพึ่งพายาคลายเครียดหลายชนิด

เดอะซันรายงานเพิ่มเติมว่า นายไบรอัน ออกซ์แมน ทนายความครอบครัวแจ๊กสัน กล่าวว่า ผลชันสูตรศพรอบ 2 ออกมาแล้ว และส่งถึงมือนางแคทเธอรีน มารดาแจ๊กสันเรียบร้อยตั้งแต่วันที่ 30 มิ.ย. รายละเอียดส่วนใหญ่ตรงกับที่เดอะซันตีแผ่ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเรื่องรอยแผลตามร่างกาย รอยเข็ม 4 เข็ม บริเวณหัวใจ น้ำหนักตัวที่ผอมซูบ และผมบางจนศีรษะเกือบ ล้าน ทั้งยังพบยาในกระเพาะอาหาร ซึ่งสอด คล้องกับประวัติการใช้ยาในอดีตของแจ๊กสัน และทางครอบครัวไม่ได้ปฏิเสธความจริงข้อนี้

"ตรงหน้าอกของแจ๊กสันยังมีรอยแผลจากโรคด่างขาว คล้ายลายจุดบนตัวเสือดาว" นาย ออกซ์แมน กล่าว

นายดีเตอร์ ไวส์เนอร์ วัย 59 ปี อดีตผู้จัดการส่วนตัวของแจ๊กสันระหว่างปี 2535-2546 ให้สัมภาษณ์เดอะซัน ว่า สภาพจิตใจแจ๊กสันย่ำแย่หนัก หลังตกเป็นผู้ต้องหาคดีล่วงละเมิดเด็กชายครั้งที่ 2 ซึ่งภายหลังศาลยกฟ้อง แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ทำลายชีวิตราชาเพลงป๊อปที่หันไปพึ่งพายาหลายชนิด ถ้าผู้ช่วยคนไหนไม่ยอมจัดหายามาให้ก็จะถูกไล่ออก ยาเหล่านี้ทำลายคุณลักษณะความเป็นเด็กใสบริสุทธิ์และอัจฉริยภาพทางดนตรีในตัวแจ๊กสันไปจนหมดสิ้น

ด้านนางเชอริลีน ลี พยาบาลและนักโภชนาการประจำตัว เผยว่า แจ๊กสันมีปัญหานอนไม่หลับมาหลายเดือนระหว่างเตรียมตัวขึ้นแสดงคอนเสิร์ต "This is It" และเรียกร้องขอยาระงับความรู้สึกและยาสลบมีฤทธิ์รุนแรง "ดิพริแวน" แต่ตนไม่สั่งยาให้ ทั้งยังเตือนว่าเป็นยาอันตรายถึงชีวิต อย่างไรก็ตาม ก่อนเสียชีวิตแค่ 4 วัน แจ๊กสันให้ลูกน้องโทรศัพท์มาหาตนที่รัฐฟลอริดา บอกให้รีบบินกลับลอสแองเจลิสโดยด่วน เพราะแจ๊กสันป่วยหนัก ร่างกายซีกหนึ่งรู้สึกร้อนจัดขณะที่อีกซีกหนึ่งเย็นจัดผิดปกติ ตนจึงรู้ทันทีว่าแจ๊กสันใช้ยาดิพริแวน ซึ่งส่งผลต่อประสาทส่วนกลางไปแล้ว และรีบบอกให้ไปโรงพยาบาลทันที แต่นักร้องซูเปอร์สตาร์ไม่ไป

เว็บไซต์ข่าวเดอะเดลี่บีสต์ สหรัฐอเมริกา แจ้งว่า นายเจอรัลด์ โพสเนอร์ นักเขียนสารคดีเชิงสืบสวนสอบสวนชั้นแนวหน้าของสหรัฐ และคอลัมนิสต์เดลี่บีสต์ อ้างว่า บุคคลใกล้ชิดกับแจ๊กสันให้ข้อมูลว่า แจ๊กสันรู้ตัวว่าแสดงคอนเสิร์ต "This is It" 50 รอบในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษไม่ไหว จึงหาทางใช้ยาหลายชนิดรวมๆ กันทำให้ตัวเองป่วย และต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อใช้เป็นเงื่อนไขลดรอบแสดง เพราะตามสัญญาทั่วไปนั้นศิลปินที่ล้มป่วยและเปิดการแสดงไม่ได้จะไม่ถูกฝ่ายผู้จัดคอนเสิร์ตปรับ ซึ่งผลสุดท้ายความพยายามดังกล่าวกลับกลายเป็นอุบัติเหตุส่งผลให้แจ๊กสันเสียชีวิต

"สิ่งที่ไมเคิลทำก็เหมือนเด็กที่ไม่อยากไปโรงเรียน และคิดเอาเองว่าการทำแบบนี้จะทำให้เขารอดตัวไปได้ถ้าได้รับใบรับรองแพทย์" ผู้ใกล้ชิดแจ๊กสัน กล่าว ทั้งนี้ ในช่วงที่ทำสัญญาครั้งแรก บริษัทเออีจี ไลฟ์ ระบุว่าแจ๊กสันจะเปิดคอนเสิร์ตเพียง 10 รอบ แต่ภายหลังเพิ่มเป็น 50 รอบ

เว็บไซต์ข่าวบันเทิงสหรัฐ "ทีเอ็มซี" ซึ่งตีข่าวแจ๊กสันเสียชีวิตเป็นแห่งแรก รายงานว่า ผลการตรวจสอบบ้านพักแจ๊กสันยังพบยาฉีด "โปรโปฟอล" หรือ "ดิพริแวน" ซึ่งใช้ในการวางยาสลบผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด และออกฤทธิ์แรงมาก ซึ่งต้องใช้โดยแพทย์ผู้ชำนาญเท่านั้น หนึ่งในผลข้างเคียงจากการใช้ยาตัวนี้เกินขนาดถึงขั้นทำให้หัวใจหยุดเต้น โดยเฉพาะถ้าใช้ร่วมกับยาแก้ปวดชนิดรุนแรงจะเพิ่มความเสี่ยงหัวใจวายสูงยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ทีเอ็นซียังอ้างแหล่งข่าวระบุว่า ลูกสองคนของแจ๊กสันที่เกิดกับนางเด็บบี้ โรว์ ไม่ใช่ลูกที่แท้จริง เพราะอสุจิและไข่ที่ใช้ผสมเทียมไม่ใช่ของทั้งแจ๊กสันและนางโรว์ ส่วนลูกคนที่สามก็ไม่ได้ใช้อสุจิแจ๊กสันในการผสมเทียมเช่นกัน

ขณะที่เว็บไซต์แฟนคลับไมเคิล แจ๊กสัน หลายเว็บทั่วโลก เช่น michaeljacksonsightings.com นำเสนอทฤษฎีสมคบคิด ตั้งสมมติฐานไปต่างๆ นานาโดยไม่มีหลักฐานรองรับ ว่า แจ๊กสันไม่ได้ตายจริง แต่แกล้งตายหนีหนี้ โดยวางแผนมาประมาณ 1 ปีครึ่ง จัดหาคนป่วยหนักใกล้ตายอยู่แล้วไปผ่าตัดเปลี่ยนใบหน้าให้เหมือนแจ๊กสัน และเมื่อตัวปลอมเสียชีวิต กลุ่มคนสนิทแจ๊กสันตัวจริงจะเข้าไปคอยดูแลครอบครัวของตัวปลอม นอกจากนั้นตามเว็บไซต์เหล่านี้ยังเผยแพร่ภาพถ่ายเบลอๆ อ้างว่าเป็นภาพแจ๊กสันตัวจริงหลบอยู่ตามสถานที่ต่างๆ เช่น ชายแดนเม็กซิโก และบางเว็บฟันธงว่าขณะนี้ราชาเพลงป๊อปหลบไปกบดานอยู่ในยุโรปตะวันออก ในอนาคตจะผ่าตัดแปลงโฉมกลับมาออกอัลบั้มอีกครั้งด้วยน้ำเสียงและลีลาสุดยอดกว่าเดิม

วันเดียวกันน.พ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ผอ. สำนักสุขภาพจิตสังคม กรมสุขภาพจิต กล่าวถึงกรณีแฟนคลับราชาเพลงป๊อป ไมเคิล แจ๊กสัน ฆ่าตัวตาย ว่า โดยทั่วไปเมื่อคนเกิดความรัก และติดตามผลงานของศิลปินคนใด ก็จะรู้สึกผูกพัน เหมือนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน และให้ความรักอย่างมาก เมื่อบุคคลนั้นเสียชีวิตไม่ว่าจากการฆ่าตัวตาย หรือกรณีอื่น ก็จะทำให้เกิดความโศกเศร้า และรู้สึกสูญเสีย ซึ่งระดับความสูญเสียของคนทั่วไปมีอยู่ 3 รูปแบบ คือ 1.เกิดความเศร้าเสียใจ แต่หาย และใช้ชีวิตเป็นปกติได้ภายใน 2-6 สัปดาห์ แต่หากยังเกิดอาการซึมเศร้าต่อเนื่อง แสดงว่ามีการปรับตัวและจิตใจที่ผิดปกติ จัดอยู่ในกลุ่มที่ 2 คือ เริ่มมีอาการซึมเศร้า และกลุ่มที่ 3 คือ เมื่อเกิดความสูญเสียขึ้น อารมณ์ จะดิ่งลงทันที มีความโศกเศร้าอยู่ตลอดเวลาไม่สามารถทำกิจกรรมตาม ปกติได้ ทั้งนี้ ในกลุ่มเด็กและวัยรุ่นอาจจะมีอีกกรณีคือ เกิดจากอารมณ์หุนหันพลันแล่น ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้

"กรณีผู้ที่ฆ่าตัวตายตามศิลปินที่ชอบ จัดอยู่ใน 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 2 และ 3 มีมากถึง ร้อยละ 80-90% ซึ่งคาดว่าคนที่อยู่ใน 2 กลุ่มดังกล่าว เป็นโรคซึมเศร้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ผู้ที่ไม่สามารถปรับจิตใจหรือปรับตัวตามสถานการณ์ได้ จะถือว่าเป็นปัญหาทางสุขภาพจิตอย่างหนึ่ง ซึ่งกรณีการฆ่าตัวตายตาม จะมีสัญญาณ 3 ประการ คือ ความคิด แสดงออกผ่านการเขียน หรือพูด, อารมณ์ จะมีความเศร้ามากผิดปกติ ไม่สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ และสุดท้ายคือ พฤติกรรม มีการสะสมอาวุธ คิดวิธีฆ่าตัวตาย หรือคร่ำครวญ ซึ่งคนในครอบครัว จะรู้ดีที่สุดว่าเกิดความผิดปกติขึ้นหรือไม่ และเมื่อพบสัญญาณ ต้องทำความเข้าใจและหาทางป้องกัน โดยสามารถจะเกิดขึ้นที่ประเทศใดก็ได้ หากมีความรักในศิลปินคนดังกล่าว" น.พ.ทวีศิลป์ กล่าว

เครดิต :
เครดิต : เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์ข่าวสด


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์