หลุดฎีกา ยกฟ้อง เล่าต๋า คดีค้าผง จวกกลับ ตร.จับมั่ว

ศาลฎีกายกฟ้อง “เล่าต๋า แสนลี่” กับบุตรชาย

ที่ห้องพิจารณาคดี 609 ศาลอาญา เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 16 พ.ย. ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดียาเสพติด ที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดียาเสพติด 2 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายเล่าต๋า แสนลี่ อายุ 70 ปี กับบุตรชาย นายวิจารณ์ แสนลี่ อายุ 31 ปี และนายสุขเกษม แสนลี่ อายุ 27 ปี เป็นจำเลยที่ 1-3 ตามลำดับ ในความผิดฐานสมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป

กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด

ความผิดฐานครอบครองอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และ 3 มีความผิดฐานครอบครองอาวุธปืนและเครื่องกระสุนโดยไม่ได้รับอนุญาต ให้จำคุกคนละ 2 ปี แต่จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงให้จำคุกไว้คนละ 1 ปี 4 เดือน และให้ยกฟ้องจำเลยทั้งสาม ในฐานความผิด สมคบกันตั้งแต่ 2 คน ขึ้นไป กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และความผิดฐานมีวิทยุสื่อสารไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ต่อมาอัยการโจทก์ยื่นฎีกาขอศาลลงโทษจำเลยตามความผิด ส่วนจำเลยยื่นฎีกาขอให้ศาลยกฟ้อง

ตามโจทก์ฟ้องสรุป ว่า
 
เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. 46 นายสมศักดิ์ หรือดำ พิมพิมาย จำเลยในคดีค้ายาเสพติดซึ่งถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ ให้การซัดทอดถึงจำเลยทั้งสามว่า มีส่วนร่วมในการสมคบค้าเฮโรอีนหนัก 336 กรัม คิดเป็นเฮโรอีนบริสุทธิ์ 280.455 กรัม ต่อมาเจ้าหน้าที่บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) จึงขออนุมัติหมายจับจากศาล เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. และนำกำลังเข้าจับกุมจำเลยทั้งสาม ได้ที่บ้านพักโดยจับกุมพร้อมของกลางประกอบด้วย รถยนต์กระบะ 2 คัน อาวุธปืนขนาด 9 มม. จำนวน 2 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุน เครื่องวิทยุสื่อสาร 3 เครื่อง โทรศัพท์ มือถือ 1 เครื่อง และกล้องส่องทางไกล

ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า

พยานหลักฐานโจทก์ เป็นพยานแวดล้อม ไม่ใกล้ชิดกับเหตุการณ์ เบิกความมีพิรุธน่าสงสัยหลายประการ อาทิ เรื่องเงินจำนวน 200,000 บาท ที่ใช้ในการล่อซื้อ ไม่มีหลักฐานการเบิกจ่ายจากหน่วยงาน ต้นสังกัดของเจ้าหน้าที่ และพยานโจทก์เองก็ไม่ทราบว่าผู้บังคับบัญชาจะส่งเงินให้กับสายลับโดยตรงหรือไม่ และนำเงินจากที่ใดไปมอบให้ เป็นเหตุให้สงสัยว่าจะมีการล่อซื้อยาเสพติดจริงหรือไม่ อีกทั้งคำให้การของพยานโจทก์ปากนายสมศักดิ์ เป็นคำให้การในลักษณะซัดทอด อาจเกิดจากการถูกจูงใจของพนักงานสอบสวนกันไว้เป็นพยานและสั่งไม่ฟ้อง โจทก์ไม่นำสายลับมาเบิกความในถึงเหตุการณ์ขณะล่อซื้อยาเสพติด รวมทั้งจากการตรวจค้นบ้านพักของจำเลยทั้งสามไม่พบยาเสพติดหรืออุปกรณ์การเสพแต่อย่างใด อีกทั้งจำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธมาโดยตลอดว่าไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดแต่อย่างใด เห็นว่าพยานโจทก์ไม่มีน้ำหนักรับฟังให้ลงโทษจำเลยได้ ที่ศาล อุทธรณ์ที่พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย พิพากษา ยืนให้ยกฟ้องจำเลยทั้งสาม


จากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์นำตัวนายเล่าต๋า แสนลี่ ไปฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดียาเสพติด 3 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายเล่าต๋า เป็นจำเลยในความผิดฐานสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด โดยการจ้างวาน ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 610 โดยในคดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษายกฟ้องไปเมื่อวันที่ 16 พ.ย. 2548 ต่อมาอัยการโจทก์ยื่นฎีกาขอให้ศาลลงโทษ ส่วนจำเลยยื่นฎีกาขอให้ศาลยกฟ้อง


ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้วเห็นว่า
 
พยานในคดีนี้ยังมีความน่าสงสัยตามสมควรว่าเบิกความไปตามจริงหรือไม่ เนื่องจากการเบิกความของพยานโจทก์ปากนายสมศักดิ์ หรือดำ พิมพิมาย เป็นการกล่าวอ้างลอยๆ ว่ารู้จักกับจำเลย แต่ไม่มีหลักฐานใดพิสูจน์ถึงความสัมพันธ์ของพยานและจำเลยในเรื่องยาเสพติด และจำเลยให้การปฏิเสธมาโดยตลอด อีกทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมนายสมศักดิ์ เป็นเพียงพยานบอกเล่า เพราะไม่รู้ เห็นเหตุการณ์ในการกระทำผิดของจำเลย โจทก์ไม่มีหลักฐานอื่นมานำสืบให้เห็นว่าจำเลยทำผิดตามฟ้องที่ศาลอุทธรณ์ พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย พิพากษายืนให้ ยกฟ้องจำเลย


ภายหลังทราบคำพิพากษานายเล่าต๋า พร้อมลูกชายและญาติเดินออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ยืนชูมือให้ช่างภาพ ถ่ายรูป ก่อนเปิดเผยความรู้สึกว่า ดีใจที่ศาลฎีกามีคำพิพากษายกฟ้องทั้งสองคดี ที่ผ่านมาไม่รู้สึกเครียดแต่อย่างใด เพราะแน่ใจว่าไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาจับกุมตน ต่อข้อถามว่ารู้จัก กับขุนส่า ราชายาเสพติดหรือไม่ นายเล่าต๋า ยิ้มก่อนกล่าวว่า รู้จักแต่ในทีวีที่ดูข่าว ส่วนหลังจากนี้จะกลับไปทำไร่พริก ไร่กาแฟ ใช้ชีวิตตามปกติ


ด้านนายวิจารณ์ แสนลี บุตรชายนายเล่าต๋า กล่าวว่า
 
อยากติงเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าในการจับกุมผู้กระทำผิดคดีต่างๆนั้น ควรดำเนินคดีเฉพาะบุคคลที่กระทำความผิด ไม่ใช่จับกุมเหมารวมทั้งครอบครัวเช่นนี้ ทำให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องต้องได้รับความเดือดร้อน โชคดีที่ลูกตนอายุเพียง 3 ขวบ ไม่เช่นนั้นอาจจะถูกจับกุมไปด้วย


ด้านนายเริ่ม ชาวอ่างทอง ทนายความจำเลย กล่าวว่า

เมื่อศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องทั้งสองสำนวนถือว่าคดีสิ้นสุดแล้ว แต่อย่างไรก็ตามนายเล่าต๋าและบุตรชายคงไม่มีสิทธิ์ที่ได้รับการชดเชยในการถูกจับกุมคุมขังเพราะเป็นคดียาเสพติด ไม่ใช่คดีอาญา ถือว่าเป็นเคราะห์กรรมของนายเล่าต๋าและบุตรชาย ซึ่งจะเป็นบทเรียนของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จับกุมผู้บริสุทธิ์เพื่อต้องการสร้างผลงาน ซึ่งนายเล่าต๋าคงจะไม่ฟ้องกลับแต่อย่างใด


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์