สั่งคุมเข้มราคาวัสดุก่อสร้าง

ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต


       

ห้ามปรับเพดานขึ้นถึงสิ้นปีหลังเงินไทยเข้มแข็งสะพัด

        นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ เปิดเผยหลังตรวจสอบภาวะตลาดราคาวัสดุก่อสร้างว่า ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่กรมการค้าภายในเพิ่มความเข้มงวดในการสำรวจราคาวัสดุก่อสร้าง เหล็ก หิน ปูน ทราย ป้องกันไม่ให้มีการปรับขึ้นราคาสูงเกินจริง เนื่องจากหลัง จากนี้คาดว่าเมื่อมีการเบิกจ่ายงบกระตุ้นเศรษฐกิจโครงการไทยเข้มแข็งแล้ว จะทำให้ธุรกิจก่อสร้างคึกคักและมีความต้องการวัสดุก่อสร้างเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจทำให้ราคาวัสดุก่อสร้างมีโอกาสปรับตัวขึ้นมาได้ตามภาวะความต้องการที่สูงขึ้น
   
        ทั้งนี้จากการสำรวจพบว่า แม้ราคาต้นทุนเหล็กเริ่มมีการปรับขึ้นบ้างตามภาวะราคาเหล็กในตลาดโลกที่สูงขึ้น แต่ยังไม่สูงมากนัก   และยังอยู่ในเพดานราคาที่คณะอนุกรรมการเหล็กกำหนด แต่หากผู้ประกอบการมีความจำเป็นต้องขอขึ้นราคา เพราะน้ำมันแพงนั้น ก็จะมีการพิจารณาตามต้นทุนข้อเท็จจริง ขณะที่ราคาปูนจะพิจารณาตามภาวะต้นทุนของถ่านหินเป็นสำคัญ แต่คาดว่ายังไม่มีการเปลี่ยนแปลงจนถึงสิ้นปีนี้
   
        “แม้ต้นทุนวัสดุก่อสร้างจะเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ผู้ประกอบการคงไม่อยากขึ้นราคาในช่วงนี้เพราะเศรษฐกิจเพิ่งจะฟื้นตัว ผู้ประกอบการจึงน่าจะอยากขายของให้มากก่อน รอจนกว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวดีแล้วค่อยขึ้นราคาขาย แต่ในการสำรวจราคาที่เปลี่ยนแปลงในขณะนี้ ทั้งหมดยังไม่เกินราคาเพดานที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด เพราะก่อนหน้านี้ในช่วงเศรษฐกิจ และวงการก่อสร้างซบเซาราคาได้ปรับลดลงกว่าราคาเพดานมาก”
   
        นางพรทิวากล่าวต่อว่า นโยบายดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคอื่น ๆ ก็จะพิจารณาตามต้นทุนการผลิตที่แท้จริง  แต่ตั้งใจไว้ว่าจะไม่ให้ปรับขึ้นราคาถึงสิ้นปีเพื่อช่วยเหลือลดรายจ่ายต่อผู้บริโภค
   
        รายงานข่าวแจ้งเพิ่มว่า ราคาขายปลีกเหล็ก ณ วันที่ 30 ส.ค.52 เหล็กเส้นกลม  9 มม. ขายปลีกที่ 107.29 บาทต่อเส้น หรือตันละ 21,500 บาท ต่อมาในวันที่ 2 ก.ย. ราคาได้ขยับขึ้นมาเส้นละ 2 บาทกว่า อยู่ที่ 109.78 บาท หรือตันละ 22,000 บาท ส่วนราคาปูน ณ วันที่ 7 ก.ย. ปูนตราเสือสูตรผสม ถุง 50 กก. ขายปลีกที่ 135-142 บาท ต่ำกว่าราคาแนะที่กำหนดไว้ 144 บาท และปูนพอร์ตแลนด์ ตราช้างขายปลีก 145-156 บาท ต่ำกว่าราคาแนะนำที่ 161 บาท 

   
        นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า การพิจารณาปรับราคาเหล็กหรือไม่นั้น กรมฯจะดูที่ราคาน้ำมันดีเซลเป็นหลักเพราะถือเป็นต้นทุนสำคัญในการขนส่ง แต่หากน้ำมันดีเซลขึ้นจากปัจจุบันอีกลิตร  ละ 5 บาท อาจมีการพิจารณาให้ขึ้นราคาได้ เพราะเป็นระดับที่มีผลกระทบต่อต้นทุนการขนส่งสินค้าจริง. 


เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์