มันมาอีกแล้ว ยากินแล้วผิวขาว ของยั่วใจวัยรุ่น...อ่อน

'เอ็กตร้า ไวท์ พลัส เพิ่มความขาวแบบดารา ด้วยอาหารเสริมผิวขาว ตัวนี้เป็นที่นิยมมากในกลุ่มพริ๊ตตี้ ทำให้ขาวใสอมชมพูแบบรวดเร็วเพิ่มเป็น 2 เท่า เพราะมีกลูต้าไทโอน และมีวิตามินอีกหลายตัว เห็นผลว่าสภาพผิวเปลี่ยนแปลงภายใน 3 อาทิตย์'



ค่านิยมผิวสวยหน้าใสของสังคมยุคนี้ ทำให้หนุ่มสาวรุ่นใหม่ เสาะแสวงหาสารพัดวิธีที่ทำให้ "ผิวขาว"

และดูเหมือนว่าการใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของไวท์เทนนิ่งจะ "ไม่ทันใจ" คนยุคนี้ไปซะแล้ว เหล่าหนุ่ม- สาวจึงหันมาใช้วิธี "ขาวสั่งได้" ด้วยการ "กินยา" ซึ่งมีทั้งในรูปแบบ "ยา, อาหารเสริม" ซึ่งขณะนี้มีขายให้เกร่อตามเว็บไซต์ต่างๆ และกำลังเป็นที่นิยมในหมู่นักศึกษามหาวิทยาลัย และนักเรียนมัธยมปลาย โดยในแต่ละเว็บไซต์ต่างยกสรรพคุณมาอวดอ้างต่างๆ นานา อาทิ

"เอ็กตร้า ไวท์ พลัส เพิ่มความขาวแบบดารา ด้วยอาหารเสริมผิวขาว ตัวนี้เป็นที่นิยมมากในกลุ่มพริ๊ตตี้

ทำให้ขาวใสอมชมพูแบบรวดเร็วเพิ่มเป็น 2 เท่า เพราะมีกลูต้าไทโอน และมีวิตามินอีกหลายตัว เห็นผลว่าสภาพผิวเปลี่ยนแปลงภายใน 3 อาทิตย์ ใครที่ว่าตัวดำ หรือคล้ำ ก็สามารถขาวได้เหมือนคนขาว"หรือ"ยาผิวขาว เจเอ ไวเทนนิ่ง สกิน มีส่วนผสมของทรานเนซามิค 250 มิลลิกรัม ซึ่งมีคุณสมบัติลดการสร้างเม็ดสีเมลานิล และลดสีผิวให้อ่อนลง ลดสีฝ้า กระ จุดด่างดำให้จาง ทำให้ขาวสวยใสไร้รอยด่างดำ ผิวขาวอมชมพูเหมือนดารา"

ข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างจากหลายร้อยเว็บไซต์ ที่อวดอ้างสรรพคุณยั่วยวนให้วัยรุ่นหามาทดลองใช้ แต่..กลับไม่มีเว็บไหน การันตีเลยว่า ได้รับการรับรองจาก "อย."

ส่วน "ราคา" เริ่มที่แค็ปซูลละ 10-20 บาท รับประทานวันละ 2 เม็ดเช้า-เย็น หรือบางเว็บให้ทาน 15 วันแรก 8 เม็ด 15 วันต่อมา 6 เม็ด หลังจากนั้น 4 เม็ด พร้อมกับหมายเหตุว่า มาตรฐานความขาวของแต่ละคนต่างกัน อาจช้าหรือเร็ว ขึ้นอยู่กับสภาพเม็ดสีผิว ใช้เวลาตั้งแต่ 1 อาทิตย์ถึง 2 เดือน และบางเว็บจะตบท้ายโฆษณาอย่างสวยหรูว่า "แค่นี้ผิวก็ขาวใสแบบดูดีได้ง่ายๆ" หรือ "รับประกันเห็นผลทุกราย ดีจริงๆ ย้ำๆ ยิ่งทานนาน ยิ่งเด้งแบบดารา"

เชื่อถือได้แค่ไหน?!?!

เพราะอยากรู้เลยกดโทรศัพท์ไปตามที่เบอร์ที่ตัวแทนจำหน่ายทิ้งไว้ จึงได้สนทนากับ "น้ำ" เธอบอกในตอนหนึ่งของการสนทนาทางโทรศัพท์ว่า

"น้องยังไม่เคยทานใช่ไหมค่ะ ยานี้ช่วยให้ผิวเราขาวขึ้นจริงๆ นะ พี่อยากแนะนำให้น้องลองซื้อไปทานซิ เมื่อซื้อไปทานแล้วขาวใสขึ้นทุกคนเลย ตอนนี้กำลังนิยมมากในกลุ่มนักศึกษา เดี๋ยวเขามีแต่คนขาวกันแล้วนะ"

เธอยังบอกอีกว่า เหตุผลที่นำยาผิวขาวมาขายในเว็บไซต์ เพราะขายตรงไม่เสียค่าลิขสิทธิ์หรือโฆษณาจึงขายได้ในราคาถูก และยาทุกตัวมี อย. เพียงแต่จะไม่ตรงนิดหน่อยที่ อย.กำหนดให้ขายยาต่อเม็ดไม่เกิน 250 มิลลิกรัม (มล.) ร้านได้เพิ่มปริมาณเข้าไปเป็นเม็ดละ 500 มล. เพราะแดดเมืองไทยแรง ทานยาเพียงแค่ 250 มล. ไม่ช่วยให้ขาวขึ้น ต้อง 500 มล. ผิวถึงจะขาวขึ้น

เธอว่าอย่างนั้น...

จากความคิดเห็นในเว็บบอร์ดต่างๆ ของผู้ที่เคยกินหรือกำลังกินอยู่ มีทั้งติและชม ส่วนหนึ่งแสดงความคิดเห็นว่า ยาพวกนี้เมื่อกินเข้าไปแล้วจะไปกดเม็ดสีเมลานิล หยุดเมื่อไหร่ กลับมาอาจดำกว่าเดิม เสี่ยงต่อการเป็นฝ้า บางคนว่า ก่อนกินยาอะไรเข้าไป ควรศึกษาให้แน่ใจเสียก่อน ทางที่ดีควรปรึกษาแพทย์ ไม่ควรเสี่ยงรับประทานอะไรลงไปในร่างกาย เพียงแค่อยากสวยเพราะไม่คุ้มกับชีวิต

ความจริงจาก"แพทย์"

นพ.นภดล นพคุณ หัวหน้าสาขาวิชาตจวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย บอกว่า ในประเทศไทยยังไม่มียาที่ผลิตขึ้นมาเพื่อทำให้ผิวขาว และองค์การอาหารและยาไม่มีระบุให้ใช้ตามระเบียบ อย.

"กลูต้าไธโอน เป็นยาต้องห้ามของ อย. เพราะไม่มีข้อบ่งชี้ใดๆ ที่บอกว่า รับประทานแล้วจะช่วยให้ผิวขาวขึ้น ส่วนยาผิวขาวที่มีส่วนผสมของทรานเนซามิค ทางการแพทย์ใช้ในการห้ามเลือด ทำให้เลือดแข็งตัว ผลข้างเคียงของยาคือ เมื่อรับประทานเข้าไปจะทำให้ผิวขาวขึ้นเพียงชั่วคราว เมื่อหยุดยาก็จะเหมือนเดิม และหากรับประทานนานๆ อาจมีผลข้างเคียงตามมาคือ เส้นเลือดอุดตัน"

นพ.นภดลบอกอีกว่า คงไม่มียาใดทำให้คนผิวขาวขึ้นได้ ดังนั้น การดูแลผิวให้ดีที่สุดคือการหลีกเลี่ยงแสงแดด ใช้ครีมกันแดดแค่นี้พอแล้ว และการมีผิวคล้ำไม่ใช่เรื่องน่าเกลียด เพราะผิวคล้ำป้องกันแสงยูวีได้ ที่สำคัญคนผิวคล้ำเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็วผิวหนังน้อยกว่าคนผิวขาว" นพ.นภดลย้ำ

ที่มา หน้า 25 หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 04 มิถุนายน พ.ศ. 2551

เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์