ป่วย-หายตัว ลูกตามหาบิ๊กเสือ องคมนตรี พร้อมเงินสด12ล้าน

ภาพเมื่อครั้งที่นายพิเชฏฐ์ กุลละวณิชย์ อายุ 55 ปี เข้าเยี่ยม "บิ๊กเสือ"ภาพเมื่อครั้งที่นายพิเชฏฐ์ กุลละวณิชย์ อายุ 55 ปี เข้าเยี่ยม "บิ๊กเสือ"

ป่วย-หายตัว ลูกตามหา"บิ๊กเสือ" องคมนตรี พร้อมเงินสด12ล้าน จาก"9บัญชีธนาคาร"

สงสัยญาติใกล้ชิด! กีดกันไม่ให้พบหน้า หลังยื่นฟ้องร้องนัว

ลูกชาย "บิ๊กเสือ"พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรี ห่วงพ่อชราภาพอายุ 82 ปีและป่วยด้วยอาการสมองฝ่อ ถูกพาตัวหนีหายไปจนถึงขณะนี้ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนแล้ว เผยก่อนหน้านี้พยายามขอพบ แต่ถูกญาติใกล้ชิดที่ดูแลอยู่กีดกันหนัก สุดท้ายพ่อมอบอำนาจให้ยื่นฟ้องในข้อหาละเมิด ห้ามเข้าไปในบ้าน โรงพยาบาล ทำเนียบองคมนตรี หรือสถานที่ที่พ่อจะปฏิบัติหน้าที่ นอกจากนี้ยังพบว่าเงินในบัญชีธนาคารทั้ง 2 แห่งรวม 9 บัญชีถูกเบิกไปถึง 11.9 ล้านบาท ล่าสุดได้ยื่นฟ้องญาติ 2 คนข้อหาฉ้อโกงไปแล้ว

เมื่อวันที่ 5 ก.พ. นายพิเชฏฐ์ กุลละวณิชย์ อายุ 55 ปี ลูกชายของพล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรี และอดีตรองผบ.สส.
 
ได้นำหลักฐานเอกสารเข้าร้องเรียนกับหนังสือพิมพ์ "ข่าวสด" เกี่ยวกับปัญหาภายในครอบครัวกุลละวณิชย์ โดยนายพิเชฏฐ์กล่าวว่า เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 2557 พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ ได้มอบอำนาจให้ พ.ต.ท.สุรโชคมพล วิเศรษฐฐิติพันธ์ ยื่นร้องศาลแพ่งฟ้องตนซึ่งเป็นลูกชายในข้อหาละเมิด คดีหมายเลขดำที่ 5485/2557 ระบุว่าตนซึ่งย้ายไปอยู่สหรัฐอเมริกากับนางอรุณี กุลละวณิชย์ อดีตภรรยาของพล.อ.พิจิตร ตั้งแต่อายุ 6 ขวบ จึงไม่มีความผูกพันกับพล.อ.พิจิตร อีกทั้งปัจจุบันไม่ได้ประกอบอาชีพ เพิ่งเดินทางกลับมาจากสหรัฐอเมริกา และพยายามบุกรุกเข้าไปในบ้านพักส่วนตัวของพล.อ.พิจิตร โดยไม่ได้รับอนุญาต และใช้อำนาจข่มขู่เจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยภายในบ้าน ทำให้พล.อ.พิจิตรซึ่งมีอายุ 82 ปี และมีอาการป่วยอยู่ระหว่าง การรักษาตัวที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ต้องอับอายเสื่อมเสียชื่อเสียง และต้องหลบหนีออกจากบ้านพักไป 

ทั้งนี้ พล.อ.พิจิตร ขอให้ศาลมีคำสั่งห้ามจำเลยเข้าไปยังสถานที่บ้านพักของพล.อ.พิจิตร ทำเนียบองคมนตรี โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าในวันที่โจทก์เข้ารับการรักษาตัว และสถานที่ที่ พล.อ.พิจิตร ต้องไปปฏิบัติหน้าที่ในฐานะองคมนตรี หรือไปร่วมงาน โดยศาลนัดกำหนดแนวทางการดำเนินคดี หรือสืบพยานโจทก์ในวันที่ 16 ก.พ.นี้

นายพิเชฏฐ์ เปิดเผยว่าตนไม่เชื่อว่าพ่อจะฟ้องลูกชายได้ ตนไปอยู่สหรัฐอเมริกาเมื่ออายุ 14 ปี

หลังจบมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ระหว่างที่อยู่สหรัฐอเมริกา ตนได้ติดต่อและกลับมาเยี่ยมเยือนพ่ออย่างสม่ำเสมอ ช่วงต้นปี 2557 ตนตั้งใจกลับมาจากสหรัฐอเมริกามาใช้ชีวิตในประเทศไทย เพื่อมาดูแลพ่อที่ป่วยด้วยโรคปอด และโรคสมองฝ่อ 

นายพิเชฏฐ์กล่าวว่าจากการพบพ่อที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า พบว่าพ่อเจ็บป่วยด้วยโรคดังกล่าวมากว่า 4 ปีแล้ว

ทำให้ความสามารถในการจดจำ หรือคิดเรื่องต่างๆ ต้องใช้เวลานานหลายสิบนาที และบางครั้งก็จำไม่ได้ จากการถามแพทย์เจ้าของอาการที่เคยตรวจ เอ็มอาร์ไอสมองพ่อ พบว่าเส้นเลือดในสมองเต็มไปด้วยแผล และเนื้อสมองเล็กลงกว่าเดิม 30 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ ตนคิดว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะสมัยหนุ่มๆ พ่อชอบชกมวย ทำให้ศีรษะถูกกระทบกระเทือนมาก อีกทั้งออกรบและตรากตรำทุ่มเทรับราชการทหารมาตลอดชีวิต

นายพิเชฏฐ์กล่าวต่อว่า ตนอยู่สหรัฐนานกว่า 40 ปี เมื่อรู้ว่าพ่อชราภาพและเจ็บป่วย ก็ตัดสินใจกลับมาดูแลพ่อ

ครั้งหนึ่งประมาณเดือนส.ค.57 ตนเข้าไปเยี่ยมพ่อที่บ้านในเวลา 21.30 น. คนรับใช้ที่ดูแลบ้านไม่อนุญาตให้เข้าไปภายในตัวบ้าน แต่ให้นอนหลับบนพื้นหน้าบ้านจนรุ่งเช้า จากการถูกกีดกันหลายครั้ง ตนพยายามสอบถามพูดคุยกับญาติๆ ที่ใกล้ชิดพ่อ แต่กลับไม่มีใครสนใจ โดยมักอ้างว่าตนไม่ควรทำให้พ่อเสื่อมเสียชื่อเสียง ทำให้รู้สึกผิดปกติ ต่อมาตนไปสอบถามเรื่องการเบิกจ่ายเงินที่ธนาคารทหารไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ที่พ่อเปิดบัญชีไว้ทั้งหมด 9 บัญชี พบว่าในช่วง 3 ปีกว่า โดยเฉพาะเดือนก.ค.2554 เงินในบัญชีพ่อหายไป 11.9 ล้านบาท ช่วงหนึ่งมีการถอนเงินออกจากบัญชีกว่า 3 ล้านบาท โดยถอน 37 ครั้ง ภายใน 45 นาที 

ลูกชายพล.อ.พิจิตรกล่าวต่อว่า หลังจากเริ่มขุดคุ้ยปัญหา พบว่าคนใกล้ชิดพ่อพยายามกีดกันไม่ให้ตนพบกับพ่อ

หากจะเข้าไปหาพ่อที่บ้าน ก็ต้องอาศัยติดตามผู้ใหญ่ของบ้านเมืองที่เข้าไปเยี่ยมพ่อ กระทั่งเมื่อต้นเดือนธ.ค.2557 ตัดสินใจขอความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ธนาคารให้ไปพบพ่อ เพื่อแจ้งให้ทราบถึงปัญหาเรื่องการ เบิกเงิน และขอให้พ่อระงับการให้คนอื่นทำธุรกรรมทางการเงินแทน ปรากฏว่าพ่อถูกพา หายออกจากบ้านไป และบ้านก็ใส่กุญแจล็อกอย่างแน่นหนา 

"ผมพยายามติดต่อคนใกล้ชิด ถามว่าพ่ออยู่ที่ไหน แต่กลับถูกปฏิเสธว่าไม่มีใครรู้ จนถึงปัจจุบันนี้ก็ไม่ทราบว่าพ่อถูกพาตัวไปอยู่ที่ไหน และดูจากอาการป่วยของพ่อไม่มีทางที่จะตัดสินใจเดินทางไปไหนด้วยตัวเองตามลำพัง ยิ่งไม่มีทางที่พ่อจะตั้งใจฟ้องผมว่าไปละเมิดท่านด้วยตัวเองด้วย" นายพิเชฏฐ์กล่าว

นายพิเชฏฐ์ระบุว่า เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ตนตัดสินใจยื่นฟ้องนายทหารสังกัดหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กองบัญชาการกองทัพไทย ในฐานะทหารติดตาม แต่ไม่ใช่ญาติสนิท ซึ่งอาสามารับใช้พ่อตั้งแต่ปี 2553 และญาติ ผู้หญิงอีกคน ฐานร่วมกันยักยอกทรัพย์ของพ่อเป็นเงินจำนวน 11,934,395 บาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีของศา

เครดิต :
เครดิต : เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์ข่าวสด


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์