ปาฏิหาริย์มีจริง! หมอมุก ฟื้นตัวดีขึ้นเหลือเชื่อ

ปาฏิหาริย์มีจริง! หมอมุก ฟื้นตัวดีขึ้นเหลือเชื่อ

ในรอบปี 2554 มีเหตุการณ์มากมายที่เกิดขึ้นในสังคมไทยทั้งดีและไม่ดีสลับกันไป

เหตุการณ์คดีอาชญากรรมอีกเรื่องที่โด่งดังของเมืองกรุงและยังอยู่ในความทรงจำของสังคม จากเหตุการณ์ รถเก๋งลึกลับพุ่งชน พ.ต.พญ.หทัยพร อิ่มวิทยา หรือ หมอมุก อายุ 34 ปี แพทย์ประจำคลินิกผู้สูงอายุ รพ.พระมงกุฎเกล้า จนได้รับ   บาดเจ็บสาหัส ปมเหตุเพียงแค่ปัญหาการจอดรถที่กีดขวางทางกันหน้าบ้านพักของ พ.ต.พญ.หทัยพร บริเวณถนนเศรษฐศิริ แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ ในค่ำคืนของวันที่ 11 มิ.ย. 54  พื้นที่ สน.พญาไท

ตอนเกิดเหตุครั้งแรก คดีเงียบผิดปกติอยู่นานกว่า 1 สัปดาห์ เรียกว่ามีแนวโน้มที่จะถูก “ดอง” ไปกับความมืด
 
เพราะช่วงที่เกิดเหตุไม่มีใครเห็นเหตุการณ์ มีเพียงแต่คนในรถเก๋งลึกลับกับหมอมุกที่พูดอะไรไม่ได้เท่านั้น ทำให้ พญ.พรรณกร อิ่มวิทยา อดีตอาจารย์ภาควิชาจุลชีววิทยาโรงพยาบาลศิริราช มารดาหมอมุก ต้องออกมา ทวงความเป็นธรรมให้กับลูกสาวที่ถูกทำร้ายอย่างโหดเหี้ยมด้วยการเข้าร้องกับสื่อมวลชน จนทำให้ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 ผู้ดูแลพื้นที่เกิดเหตุดังกล่าวต้องสั่งการตรวจสอบเป็นการด่วน

หลังจากนั้นเรื่องนี้ได้เป็นข่าวดังไปทั่วประเทศ สังคมให้ความสนใจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ใคร   เป็นบุคคลอันตรายที่ก่อเหตุอย่างเลือดเย็นกับผู้หญิงคนหนึ่งได้เพียงนี้...

และที่สำคัญทำให้ตำรวจสน.พญาไท และ บก.น.1 ให้ความสนใจในคดีจราจร เหตุรถชนคนเจ็บมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว จนมีหลักฐานต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น ทั้งภาพวงจรปิดรถที่ก่อเหตุ ภาพหมอมุกก่อนจะประสบอุบัติเหตุครั้งใหญ่ของชีวิต และที่สำคัญ คือ เศษซากรถที่ก่อเหตุจนนำไปสู่การติดตามค้นหารถยนต์คันดังกล่าวได้สำเร็จ คือ รถเก๋งนิสสัน ซันนี่ นีโอ สีทอง ทะเบียน วค 1355 กรุงเทพ มหานคร และทราบถึงตัวผู้ก่อเหตุจนได้

ช่วงแรก ๆ พญ.พรรณกร ให้ข้อมูลกับตำรวจไว้ว่าคนที่น่าสงสัย คือ นายทหารคนหนึ่ง

เนื่องจากพบว่ารถที่ก่อเหตุเป็นทรัพย์สินของสำนักงานปลัดบัญชีทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ซึ่งได้พยายามเรียกร้องผ่านสื่อและตำรวจให้ออกมามอบตัว ในขณะเดียวกันนั้นธารน้ำใจต่าง ๆ ได้หลั่งไหลไปสู่หมอมุก เพื่อขอให้ฟื้นคืนสติกลับมาเหมือนเดิม

สิ่งที่สร้างความปลื้มปีติแก่ครอบครัวอิ่มวิทยาเป็นล้นพ้น คือ พระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ผู้แทนพระองค์อัญเชิญแจกันดอกไม้พระราชทานเยี่ยมเพื่อเป็นกำลังใจ!

ต่อมาได้มี พล.ต.พิสุทธิ์ เปาอินทร์ รองปลัดบัญชีทหาร   กองบัญชาการกองทัพไทย

พร้อมนายทหารพระธรรมนูญ ได้นำตัว พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ภู่กลั่น หรือ  เสธ.หม่อง อายุ 51 ปี ผู้อำนวยการกองกลาง สำนักงานปลัดบัญชีทหาร กองบัญชา การกองทัพไทย ที่ถูกระบุว่าเป็นผู้ขับรถชน พ.ต.พญ.หทัยพร เข้ามอบตัวต่อ พล.ต.ต. อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. ในเบื้องต้น พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ให้การว่า วันเกิดเหตุไปรับประทานอาหารที่ร้าน สามเสนวิลล่าพร้อมภรรยา ลูกสาว และเพื่อนลูกสาวรวม 4 คน เมื่อรับประทานอาหารเสร็จจึงพากันเดินกลับมาที่รถเพื่อจะกลับบ้าน แต่เนื่องจากมีรถจอดปิดทางทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ประกอบกับด้านข้างคนขับยังมีรถเก๋งอีกคันหนึ่งจอดขนาบข้างปิดอีก ทราบภายหลัง ว่าเป็นรถของหมอมุกจึงนำรถออกไปไม่ได้ ด้วยความโมโหลูกสาวจึงไปเขียนข้อความตำหนิไว้ที่กระจกหน้ารถเป็นจังหวะที่หมอมุกเดินออกมาพอดี เลยมีปากเสียงกันขึ้น

พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ให้การต่อด้วยว่า เมื่อมีการเข็นรถของหมอมุกออกไปจนพ้นทาง ตนจึงบอกให้ครอบครัวขึ้นรถแล้วขับรถเคลื่อนออก
 
แต่หมอมุกกลับใช้มือทุบกระโปรงท้ายรถหลายครั้ง ตนจึงเร่งเครื่องออกมา เลี้ยวรถกลับไปจอดฝั่งตรงข้าม พยายามโทรฯ แจ้งตำรวจ 191 แต่โทรฯไม่ติดเลยกลับรถมาจุดเกิดเหตุอีกรอบ แล้วใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปทะเบียนรถของหมอมุกไว้ แต่หมอมุกเดินมาขวางหน้ารถและกระโดดขึ้นกระโปรงหน้าพร้อมกับคว้าที่ปัดน้ำฝนไว้ ด้วยความตกใจ ตนจึงหยุดรถและถอยหลังทำให้หมอมุกตกลงจากรถ ไม่มีเจตนาจะชนซ้ำ ก่อนจะขับรถออกจากที่เกิดเหตุทันที

หลังสอบปากคำเสร็จสิ้นตอนแรกสังคมยังไม่ค่อยเชื่อว่า พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ เป็นผู้ขับรถเอง

ทำให้ทางตำรวจจำเป็นต้องส่งทีมเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานไล่ตรวจวัตถุพยานอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็น ลายนิ้วมือภายในรถ ภาพวงจรปิดหลายจุด รวมไปถึงสอบพยานอีกหลายปาก ซึ่งก็มัดตัว พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ เป็นคนขับรถคันก่อเหตุจริงไม่ใช่ออกมารับแทนคนอื่นตามที่หลายฝ่ายสงสัยกัน พนักงานสอบสวน สน.พญาไท จึงตัดสินใจแจ้งข้อกล่าวหาพยายามฆ่าผู้อื่น เบื้องต้น พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ให้การปฏิเสธทำให้ทุกอย่างเข้าสู่กระบวน การยุติธรรมจากตำรวจสู่อัยการและจากอัยการสู่ศาลทหารเพื่อพิจารณาคดีตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป

อีกด้านหนึ่งหลังจากที่ตำรวจสามารถคลี่คลายคดีได้แล้ว หลายภาคส่วนในสังคมต่างภาวนาช่วยให้หมอมุกที่น่าสงสาร จากภาพแรกที่ถูกเผยแพร่ หมอมุกนอนอยู่ในห้องไอซียูโดยมีเครื่อง ช่วยหายใจระโยงระยาง ท่ามกลางการดูแลของมารดาอย่างใกล้ชิด

เหมือนกับปาฏิหาริย์มีจริง!! หลังจากทีมแพทย์ผ่าตัดกะโหลกศีรษะเสร็จเรียบร้อย

หมอมุกค่อย ๆ ปรับสภาพร่างกายจนสามารถเคลื่อนไหวได้และมีอาการดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าสภาพจะไม่ 100% แต่ในทางการแพทย์นั้นถือว่าอาการผู้ป่วยฟื้นตัวดีขึ้น โดยเฉพาะสภาพสมองที่กำลังดีวันดีคืนทำให้มารดาและคนใกล้ชิดรู้สึกดีใจอย่างมาก รวมไปถึงประชาชนทั่วไปที่เฝ้าติดตามข่าวเรื่องนี้ก็ดีใจเช่นกัน 

แม้ปัจจุบันหมอมุกสามารถกลับไปพักผ่อนได้ที่บ้านเรียบร้อยแล้ว แต่ยังต้องเดินทางมาทำกายภาพบำบัดตามนัดของแพทย์อย่างต่อเนื่อง
 
ส่วนคดีจะลงเอยเช่นไรนั้นคงต้องว่ากันไปตามขั้นตอนกฎหมาย สิ่งหนึ่งที่ได้เห็นจากคดีนี้ มีทั้งเรื่องของปัญหาเพียงน้อยนิดก็สามารถทำให้ชีวิตคนเราพลิกผันได้อย่างสิ้นเชิง แต่ที่น่ายกย่องเหนืออื่นใดนั้น สังคมมีโอกาสได้เห็นความรักความเอื้ออาทรของมารดาที่คอยเฝ้าประคบประหงมบุตรสาวตลอดเวลา จนปาฏิหาริย์มีจริงหมอมุกอาการดีขึ้นแบบเหลือเชื่อ ทั้งมารดาและประชาชนที่เฝ้าติดตามข่าวก็พลอยสุขใจไปด้วย.


เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์