ปตท.ระบุสัปดาห์นี้ไม่เปลี่ยนแปลงราคาน้ำมัน

ปตท.  9  ม.ค. -  นายประเสริฐ  บุญสัมพันธ์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.  จำกัด (มหาชน) 

เปิดเผยว่า สัปดาห์นี้ ปตท.จะยังไม่ปรับขึ้นราคาน้ำมัน  แม้ค่าการตลาดจะอยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่าที่ ควรจะเป็น  โดยมีค่าเฉลี่ยประมาณ  50-70  สตางค์ต่อลิตรก็ตาม   ล่าสุดมีข่าวดีน้ำมันตลาดโลกลดลง 4-5 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล  แต่หากราคาตลาดโลกสัปดาห์หน้าปรับขึ้นอีกก็คงจะต้องพิจารณาใหม่ว่าจำเป็นต้องปรับขึ้นหรือไม่
 

ส่วนราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) และเอ็นจีวี  จะมีการปรับเปลี่ยนอย่างไร  นายประเสริฐ กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐบาล 

ซึ่งคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) จะมีการพิจารณาในสัปดาห์หน้า  โดยในส่วนของแอลพีจี ขณะนี้ ปตท. เป็นผู้รับภาระกรณีนำเข้ามาให้ก่อนประมาณ  8,000  ล้านบาท  ซึ่ง ปตท.ได้ลงบัญชีในฐานะเจ้าหนี้ไปแล้ว  ดังนั้น  หากกระทรวงพลังงานจะนำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาทยอยชำระโดยไม่จ่ายดอกเบี้ยก็ จะไม่กระทบต่อรายได้ปีนี้  


ส่วนก๊าซเอ็นจีวีที่ตรึงราคา 8.50 บาทต่อกิโลกรัมตั้งแต่ปี  2546 ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ปตท. กล่าวว่า  เดิมจะมีการปรับขึ้นปีนี้ในสัดส่วนไม่เกินครึ่งหนึ่งของราคาดีเซล

แต่หากไม่ปรับขึ้นเลย จะส่งผลกระทบต่อการขยายการลงทุนเพื่อบริการประชาชนในอนาคต  เพราะ ปตท.หรือผู้ประกอบการรายอื่นที่สนใจเข้ามาลงทุนขยายเครือข่ายเอ็นจีวี จะต้องชะลอการลงทุนใหม่  เนื่องจากไม่มีผู้ประกอบการรายใดสามารถเข้ามาแบกรับภาระขาดทุนได้ตลอด  ซึ่งเป็นที่ทราบดีว่าต้นทุนเฉลี่ยปีนี้จะสูงประมาณ  12  บาทต่อกิโลกรัม  ขณะที่ผ่านมา ปตท.รับภาระเรื่องนี้วงเงินสูงไม่ต่ำกว่า  4,000  ล้านบาทต่อปี  ประกอบกับปีนี้ฐานะการทำธุรกิจของบริษัทพลังงานโดยรวมคงอยู่ในภาวะลำบากกว่าปีที่แล้ว  เพราะมาร์จิ้นหรือกำไรของธุรกิจต่าง ๆ ไม่ว่าปิโตรเคมี โรงกลั่นน้ำมัน  ล้วนแต่มีภาระสูงขึ้น โดยเฉพาะการขาดทุนจากการสตอกน้ำมันในคลังที่มีภาระสูงมากจนทำให้ไตรมาส  4  ปี  2551  เกิดปัญหาขาดทุนและปี 2552  เป็นปีที่ทั่วโลกได้รับผลกระทบเศรษฐกิจ บริษัทพลังงานก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย 


“ทุกภาคส่วนมีภาระด้วยกันทั้งหมดไม่ว่าประชาชน  รัฐบาล  กระทรวงการคลัง  ปตท.  ซึ่งคงจะต้องมีการพิจารณาว่าจะมีการจัดการเรื่องนี้ให้สมดุลได้อย่างไร  โดยขณะนี้ ปตท. ยังไม่ได้จัดทำตัวเลขว่าควรจะปรับขึ้นเอ็นจีวีเท่าใด และเมื่อไร โดยจะต้องหารือกับรัฐบาลก่อน” นายประเสริฐ กล่าว 


ทั้งนี้  นายประเสริฐ ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานในพิธีลงนามสัญญาเงินกู้ระหว่างบริษัท พีทีที  ฟีนอล จำกัด  ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงไทย  ธนาคารกรุงเทพ  ธนาคารทหารไทย และธนาคารออมสิน  วงเงิน  4,250  ล้านบาท 

เพื่อใช้ในการก่อสร้างโครงการบิสฟีนอลเอ  ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องจากโครงการฟีนอล  ปัจจุบันก่อสร้างเสร็จแล้ว ใช้เงินลงทุนรวม  8,500  ล้านบาท  มาจากกลุ่มธนาคาร  4,250  ล้านบาท  ที่เหลือมาจากผู้ถือหุ้น คือ บมจ.ปตท. บมจ.ปตท.เคมีคอล  และบมจ.ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น  ซึ่งโครงการบิสฟีนอลเอ เป็นการผลิตเม็ดพลาสติกวิศวกรรมที่มีคุณค่าสูงใช้ในหลายอุตสาหกรรม  เช่น ยานยนต์ เครื่องมือแพทย์ คอมพิวเตอร์ แผ่นซีดี-ดีวีดี  มีกำลังการผลิต  150,000  ตันต่อปี คาดจะก่อสร้างแล้วเสร็กลางปี  2553 .-สำนักข่าวไทย


เครดิต :

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์