นันทเดชซัดธัมมชโยผิดอาญา งง!ห่มเหลือง16ปีไม่มีใครแตะ

นันทเดชซัดธัมมชโยผิดอาญา งง!ห่มเหลือง16ปีไม่มีใครแตะ

20 ก.พ. 58 พลโท นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) แสดงความคิดเห็นในเฟสบุ๊คส่วนตัว "Nuntdach Makswat" ถึงสถานภาพของ พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย หรือ นายไชยบูลย์ สิทธิผล ที่มีข้อถกเถียง ว่า อาบัติปาราชิก แล้วหรือไม่

โดย พลโท นันทเดช ระบุว่า ตามลิขิต สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ระบุไว้ 2 กรณี

คือ กรณีการไม่ยอมคืนที่ดินให้วัดพระธรรมกาย และ บิดเบือนคำสอน ซึ่งถือเป็นขั้นอนันตริยกรรม ซึ่งต้องอาบัติปาราชิก แต่ผ่านมา 16 ปี มีการดำเนินการแค่เพียงการรับโอนที่ดินให้ตกเป็นของวัดเท่านั้น ส่วนกรณีอาบัติปาราชิกและต้องขาดจากความเป็นพระนั้น กลับละเว้นไม่มีการดำเนินการใดๆ ซึ่งแม้ว่า นายไชยบูลย์ สิทธิผล ได้มอบทรัพย์คืนแก่วัดไปแล้ว ก็เท่ากับว่า นายไชยบูลย์ สิทธิผล ได้ยอมรับเองว่า 'ได้ยักยอกทรัพย์ไปจริง' ซึ่งถือเป็นคดีอาญา และในทางพระธรรมวินัยนั้น ต้องถือว่า'อาบัติ ปาราชิก'ขาดจากความเป็นภิกษุโดยอัตโนมัติ

ปาราชิก หรือไม่ คิดดูกันเอาเอง!
ขอทบทวนเรื่องนี้เพื่อความเข้าใจใหม่เพื่อใครที่ลืมไปแล้วครับ
เมื่อ 17 ก.พ.58 คณะกรรมาการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สนช. ได้ประชุมเพื่อพิจารณาถึงกรณีสถานภาพของพระธัมมชโย และเชิญผู้แทนมหาเถรสมาคมมาชี้แจง กรณี พระธัมมชโย ได้อาบัติปาราชิกขาดจากความเป็นภิกษุมาตั้งแต่ปี 2542 ตามพระลิขิตสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ใน 2 กรณี คือ กรณีการไม่ยอมคืนที่ดินให้วัดพระธรรมกาย และการกล่าวหาว่าพระไตรปิฎกมีความบกพร่องจึงเป็นเหตุให้บิดเบือนคำสอน ซึ่งถือเป็นขั้นอนันตริยกรรม

คณะกรรมาการปฏิรูปฯ เห็นว่า พระธัมมชโย ได้อาบัติปาราชิกตามพระลิขิตจริง อีกทั้งมหาเถรสมาคมได้มีมติครั้งที่ 191/2542 และครั้งที่ 193/2542 ซึ่งเป็นมติรับทราบและให้ดำเนินการตามพระดำริ สมเด็จพระสังฆราช ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 แต่มีการดำเนินการแค่เพียงการ****รับโอนที่ดินให้ตกเป็นของวัดเท่านั้น**** ส่วนกรณีอาบัติปาราชิกและต้องขาดจากความเป็นพระนั้น กลับละเว้นไม่มีการดำเนินการใดๆมาถึง16ปีแล้ว.เพื่อให้พระธัมมชโยพ้นจากการ เป็นภิกษุสงฆ์ คณะกรรมการปฏิรูปฯ จึงได้เร่งรัดให้หน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบต้องบังคับการให้เป็นไปตาม มติมหาเถรสมาคม โดยจะให้รัฐบาลซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบ บังคับการให้เป็นไปตามมติมหาเถรสมาคม และพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชฯ
ขอให้มาดู คำแถลงขอ ถอนฟ้องของอัยการ ให้เหตุผลว่า

“สำหรับในด้านทรัพย์สินนั้น ปรากฏว่า จำเลยที่ ๑ กับพวก ได้มอบทรัพย์สินทั้งหมด ซึ่งมีทั้งที่ดินและเงินจำนวน ๙๕๙,๓๐๐,๐๐๐ บาท คืนให้แก่วัดพระธรรมกาย การกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ ๑ กับพวก จึงเป็นการปฏิบัติตามพระลิขิตของ สมเด็จพระสังฆราช ครบถ้วนทุกประการแล้ว”

(ข้อพิจารณา) กรณีที่อัยการอ้างว่า นายไชยบูลย์ สิทธิผล ได้มอบทรัพย์คืนแก่วัดไปแล้ว ก็เท่ากับว่า นายไชยบูลย์ สิทธิผล ได้ยอมรับเองว่า "ได้ยักยอกทรัพย์ไปจริง "
อย่าลืมว่า เมื่อเกิดการยักยอกทรัพย์จริง เป็นคดีอาญาครบถ้วนแล้ว ในทางพระธรรมวินัยนั้น ต้องถือว่า"อาบัติ ปาราชิก”ขาดจากความเป็นภิกษุโดยอัตโนมัติ


*****ตรงตามที่สมเด็จพระสังฆราชตรัส ดังปรากฏใน พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑ พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค ข้อ ๘๙ ความว่า “คำว่า เป็นปาราชิก มีอธิบายว่า ใบไม้เหลืองหล่นจากขั้วแล้ว ไม่อาจจะเป็นของเขียวสดขึ้นได้ แม้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแหละ ถือเอาทรัพย์อันเขาไม่ได้ให้ ด้วยส่วนแห่งความเป็นขโมย หนึ่งบาทก็ดี ควรแก่หนึ่งบาทก็ดี เกินกว่าหนึ่งบาทก็ดี แล้วไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร เพราะเหตุนั้นจึงตรัสว่า เป็นปาราชิก******( เนื้อความตอนนี้อ้างอิง บทความในกูเกิ้ลไม่ทราบชื่อผู้เขียน ).


เครดิต :
เครดิต : เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์แนวหน้า


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์