ทองแพงฉุดร้านค้าซบ จูงใจ..แก๊งต้มตุ๋นระบาด!

ราคาทองที่พุ่งสูงแตะบาทละ1.4 หมื่นบาท ทำให้ลูกค้าร้านทองหดหายไปไม่น้อย

ส่งผลให้ "ช่างทอง" พลอยตกงานไปด้วย ส่วนคดี "ทองปลอม" จากมิจฉาชีพก็กลับมาระบาดคู่กับเล่ห์ร้านทองบางแห่งที่จงใจทำ "น้ำหนักหาย" เพื่อบวกกำไรจากผู้ซื้อ หากนำคำภาษิตโบราณ"เสียทองเท่าหัว ไม่ยอมเสียผัวให้ใคร" ในตอนนี้อาจมีเสียงแย้งขึ้นมาว่า เลือกทองคำจะดีกว่า เพราะราคาทองคำปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ลองสำรวจราคาย้อนหลังไปแค่3 ปี ระหว่างปี 2547-2549 พบว่าราคาปรับขึ้นมาเกือบ 40% โดยจากราคาประมาณบาทละ 7,700 บาท ในต้นปี 2547 ขึ้นมาเคลื่อนไหวอยู่ที่บาทละ 10,750 บาท ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2549

ทว่าปัจจุบันราคาทองคำเคลื่อนไหวสูงบาทละเกือบ 1.4 หมื่นบาท ทำให้นักสะสมทองคำ หรือผู้ลงทุนในทองคำได้ผลตอบแทนอย่างน่าพอใจ
 

อย่างไรก็ตามราคาทองคำที่แพงขึ้นได้ส่งผลกระทบอื่นตามมาอีก ทั้งในแง่ของเศรษฐกิจ และสังคม... ในแง่เศรษฐกิจ ร้านค้าทอง และช่างทำทองดูเหมือนจะได้รับผลกระทบไปเต็มๆ เนื่องจากเมื่อราคาทองสูงขึ้นท่ามกลางภาวะที่กำลังซื้อของประชาชนมีไม่มากทำให้การซื้อขายทองคำเงียบเหงาลงไปถนัดตา ซึ่งจากการสำรวจบรรยากาศในร้านค้าทองคำย่านเยาวราชในช่วงที่ผ่านมา พบว่า มีเพียงไม่กี่ร้านที่มีลูกค้าเข้ามาซื้อขายกันหนาแน่น พนักงานขายในร้านแห่งหนึ่งบอกว่า การซื้อขายทองไม่คึกคักมานานพอสมควรแล้ว เพราะราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นมาก โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาทองพุ่งขึ้นไปถึงบาทละ 1.2 หมื่นบาท ลูกค้าก็ยิ่งหดหายไปมาก
 

"ราคาทองสูงมากจนไม่จูงใจให้คนซื้อ คนมีเงินน้อยก็ซื้อไม่ได้ แค่ทองสลึงเดียวก็หลายพันแล้ว แถมภาวะเศรษฐกิจก็ไม่ดี น้ำมันแพง สินค้าแพง ขณะที่รายได้ประชาชนเท่าเดิม ทำให้คนไม่มีเงินซื้อ และเก็บเงินไว้ใช้จ่ายเฉพาะสินค้าที่จำเป็นเท่านั้น ส่วนคนมาขายก็มีมากกว่าคนซื้อในบางช่วง" พนักงานร้านทองรายหนึ่ง กล่าวแบบปลงๆ
 

นอกจากบรรยากาศหน้าร้านทองจะไม่คึกคักแล้ว...

ช่างทำทองเองก็มีงานน้อยลงเพราะทองรูปพรรณที่ผลิตออกมาขายได้น้อย ทำให้ช่างหลายคนต้อง "ตกงาน" ไปไม่น้อยในช่วงปีที่ผ่านมา ส่วนในช่วงเทศกาลตรุษจีนที่กำลังจะมาถึงในต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้เขาหวังว่าบรรยากาศจะคึกคักขึ้นกว่าช่วงเวลาปกติ เพราะคนไทยเชื้อสายจีนยังนิยมซื้อทองเป็นของขวัญให้กันอยู่ แต่จากช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ลูกค้าก็ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการซื้อทองคำไปด้วย คือ เมื่อราคาแพงก็ซื้อในขนาดลดลง เช่น เดิมเคยซื้อน้ำหนัก 5 บาทก็อาจจะลดลงเหลือ 2-3 บาท สำหรับการจูงใจลูกค้าด้วยโปรโมชั่นพิเศษต่างๆ ตามปกติก็จะมีการแจกของแถมเล็กๆ น้อยให้ลูกค้าอยู่แล้ว เพราะในย่านเยาวราชมีการแข่งขันกันสูง เช่น แถมแก้วน้ำ กระเป๋าถือ เป็นต้น



นอกเหนือจากในแง่เศรษฐกิจในด้าน "สังคม" ก็มีผลกระทบไม่น้อยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นคดีการปล้นร้านทอง คดีฉกชิงวิ่งราว และคดีฉ้อโกงของมิจฉาชีพที่นำ "ทองปลอม" มาหลอกขาย 

หรือรวมทั้งเล่ห์กลของร้านทองที่มีการร้องเรียนเรื่องน้ำหนักทองไม่ครบตามมาตรฐาน ประเด็นนี้นายยรรยงพวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน (คน.) ระบุว่า กรมการค้าภายในจะเรียกสมาคมผู้ค้าทองคำ และร้านค้ามาหารือถึงสถานการณ์ซื้อขายทองคำ ในวันที่ 24 มกราคมนี้ เพื่อให้การชั่งน้ำหนักทองคำได้มาตรฐานตามที่กำหนด หลังจากมีประชาชนร้องเรียนเข้ามาว่า ทองคำในบางร้านค้ามีน้ำหนักขาดหายไป แม้จะไม่มากนัก แต่เมื่อเทียบเป็นจำนวนเงินแล้วกลับมีมูลค่าสูงมาก
 

โดยเฉพาะในร้านที่ใช้เครื่องชั่งน้ำหนักทองทศนิยม1 ตำแหน่ง โดยตามมาตรฐานทองคำรูปพรรณหนัก 1 บาท จะมีน้ำหนัก 15.16 กรัม 

แต่ถ้าเป็นทศนิยมเดียวจะคิดน้ำหนักเพียง 15.1 กรัม ซึ่งอาจทำให้น้ำหนักทองคำขาดหายไป 0.06 กรัม น้ำหนักทองที่ขาดไปนี้ทำให้ผู้บริโภคต้องจ่ายเงินตามน้ำหนักมาตรฐานคำนวณแล้วจะต้อง "จ่ายเพิ่ม" ประมาณ 90-450 บาทต่อราคาทองคำปัจจุบันบาทละ 1.4 หมื่นบาท นอกจากนี้ยังมีประชาชนได้ร้องเรียนมาด้วยว่า ปัญหาการหลอกลวงแจก "บัตรกำนัลผี" ได้กลับมาระบาดอีกครั้ง ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด

ขณะที่นายจิตติตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมผู้ค้าทองคำ กล่าวในประเด็นที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อร้านทอง คือ การนำทองปลอมมาหลอกขาย ซึ่งในช่วงนี้จะมีพวกมิจฉาชีพที่นำทองปลอมมาขายมากขึ้น
 

ดังนั้นในส่วนของร้านทองจะต้องฝึกฝนพนักงานให้มีความเชี่ยวชาญในการดูทองคำเพื่อไม่ให้ถูกหลอกเอาได้ 

ส่วนประชาชนทั่วไปก็ไม่ควรซื้อทองกับบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ร้านค้าทอง "ยิ่งนำทองราคาถูกมาขายยิ่งไม่ควรไว้ใจ แม้บางครั้งจะเป็นคนรู้จักกันก็ตาม ดังนั้น การซื้อทองในร้านที่มีชื่อเป็นมาตรฐานจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าได้รับทองคำแท้อย่างแน่นอน" นายกสมาคมผู้ค้าทองคำให้ข้อคิดเตือนใจ ส่วนทิศทางของราคาทองคำเขามองว่า หลังปีใหม่เป็นต้นมา ราคาทองปรับตัวขึ้นค่อนข้างแรงไปถึง 900 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และเพิ่งปรับตัวลดลงเล็กน้อยอยู่ราวๆ 870-880 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งขณะนี้ถือว่าราคาทองคำมีความผันผวนมาก ขึ้นหรือลงเร็วมาก 

สาเหตุที่ราคาทองคำสูงขึ้นมาจากหลายปัจจัย เช่น ทิศทางอัตราดอกเบี้ย ราคาน้ำมัน ความเคลื่อนไหวของค่าเงิน 

เช่น ช่วงนี้เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า ทำให้คนหันมาถือครองทองคำแทน ซึ่งทิศทางการวิเคราะห์ขณะนี้ก็มีหลายกระแสทั้งปรับขึ้น และปรับลง
 

"ปัจจัยที่กระทบราคาทองคำมากตอนนี้ มาจากการอ่อนค่าของเงินสกุลดอลลาร์มากกว่าการปรับตัวของราคาน้ำมันดิบโลก และผู้ค้าทองคำยังต้องปรับตัวหาเงินทุนหมุนเวียนตลอดเวลา เพราะประชาชนส่วนใหญ่จะนำทองคำมาขายมากกว่าซื้อ บางคนนำมาขายวันละร้อยบาท แต่ผู้ค้าทองยังได้รับอานิสงส์ในส่วนนี้ เพราะทำให้ยอดการส่งออกมากขึ้นกว่าปีก่อนๆ" 


นายกสมาคมผู้ค้าทองคำจึงประเมินว่า ด้วยปัจจัยราคาทองคำที่ผันผวนทำให้ลูกค้าค่อนข้างสับสน และไม่มั่นใจที่จะซื้อทองคำทำให้ตลาดค้าทองซบเซาลงไป 

และในช่วงตรุษจีนปีนี้การซื้อขายคงไม่คึกคักมากนัก ซึ่งร้านค้าทองก็เข้าใจดีว่า เกิดจากสาเหตุภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ ดังนั้นพ่อค้าส่วนใหญ่คงจะเลือกแนวทางการพยุงกิจการด้วยการ "ลดต้นทุน" ในการดำเนินงาน ส่วนบรรยากาศภายในประเทศโดยรวมจะกลับมาคึกคักขึ้นได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับ"ภาวะเศรษฐกิจ" อย่างเดียว หากเศรษฐกิจดีประชาชนมีกำลังซื้อตลาดจะกลับมาคึกคักได้อีกครั้ง
 

"คนไทยส่วนใหญ่ยังนิยมซื้อทองรูปพรรณไว้เก็บออมเมื่อมีเงินเหลือก็จะซื้อเก็บไว้ ส่วนลูกค้าที่นิยมลงทุนในทองคำนั้นต้องระมัดระวัง เนื่องจากราคาทองคำค่อนข้างผันผวน" นายกสมาคมผู้ค้าทองคำ กล่าวทิ้งท้ายเพื่อเตือนนักเก็งกำไรทองคำทุกคน


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์