ดัชนีตลาดหุ้นไทยทรุด 26 จุด



ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นวันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมาว่า ตลาดหุ้นทั่วโลก ได้ปรับตัวลงทั้งหมด หลังไม่มั่นใจว่าดัชนีดาวโจนส์ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่อง

จากตัวเลข เศรษฐกิจสหรัฐฯโดยเฉพาะยอดค้าปลีกซบเซา แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯไม่ได้ฟื้นจริง ทำให้ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลดลงทันที โดยเมื่อวันที่ 13 พ.ค. ลดลง 184.22 จุด มาที่ 8,284.89 จุด ส่งผลให้ตลาดหุ้นในเอเชียรวมทั้งตลาดหุ้นไทยปรับตัวดิ่งลงตาม แต่ ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงรุนแรงกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ หลังถูกปัจจัยลบซ้ำเติมโดย MSCI ถอดหุ้นธนาคาร กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK) และหุ้น บมจ. ท่าอากาศยานไทย (AOT) ออกจากการคำนวณดัชนี MSCI Thailand Index


ส่งผลให้นักลงทุนทั้งต่างชาติและนักลงทุนสถาบันในประเทศ เทขายหุ้นขนาดใหญ่ออกมาอย่าง หนัก และกดดันให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงรุนแรง และลงมากกว่าตลาดหุ้นอื่น ๆ ในเอเชีย

โดยปิดตลาดที่ระดับต่ำสุดของวันที่ 526.55 จุด ลดลง 26.16 จุด หรือลดลงถึง 4.73% ขณะที่ประเทศอื่นๆในเอเชียปรับลงเฉลี่ย 2-3% โดยตลอดทั้งวันมีมูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 29,930 ล้านบาท ต่างชาติกลับลำ มาขายสุทธิ 1,056.01 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนสถาบัน ในประเทศเทขายสุทธิ 2,145.21 ล้านบาท ส่วนนัก ลงทุนรายย่อยในประเทศเป็นหมูไม่กลัวน้ำร้อนเข้าไปซื้อสุทธิสวนทาง 3,201.23 ล้านบาท

นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) นครหลวงไทย กล่าวว่า สาเหตุที่หุ้นไทยปรับตัวลงแรงมีสาเหตุสำคัญ จาก MSCI ได้ถอนหุ้นไทย 2 ตัวออกจากการคำนวณดัชนี MSCI Thailand Index ซึ่งส่งผลให้น้ำหนักการลงทุนของตลาดหุ้นไทยในดัชนี MSCI Asia Ex-Japan มีสัดส่วนลดลงจากเดิม 2% เหลือ 1.8% อย่างไรก็ตาม ภาพตลาดโดยรวมเริ่มมีความเปราะบางหลังดัชนีปรับตัวขึ้นมาอย่างร้อนแรงก่อนหน้านี้ ปัจจัยเสี่ยงของตลาดหุ้นขณะนี้คือความเสี่ยงจากความคาดหวังว่าทุกอย่างกำลังจะดีขึ้น เมื่อมีข่าว ร้ายมากระทบก็พร้อมที่จะปรับตัวลง

ซึ่งแนะนักลงทุน ที่มีกำไรแล้วก็ควรขายหุ้นออกมา ถือเงินสดเพื่อหา จังหวะกลับเข้าไปซื้อหุ้นอีกครั้ง

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ให้ระวังในช่วงไตรมาส 3 ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสที่จะปรับฐานลงแรงกว่านี้ และอาจหลุดลงในระดับที่ต่ำกว่า 500 จุดได้ โดยตลาดหุ้น ทั่วเอเชียรวมทั้งไทยที่ปรับตัวขึ้นรอบนี้ เพราะสภาพ คล่องของเงินทุนที่มีจำนวนมหาศาลไหลเข้ามาลงทุน จากที่ก่อนหน้าไปพักอยู่ในตลาดเงินหรือมันนี่ มาร์เก็ต แต่ดอกเบี้ยปรับตัวลงต่ำ เหลือ 0-0.25% จึงไม่สร้างผลตอบแทน เมื่อนักลงทุนมีความเชื่อว่าเศรษฐกิจถึงจุดต่ำสุดแล้ว ทำให้เงินไหลกลับเข้ามาลงทุนในหุ้น แต่มองว่าการปรับขึ้นรอบนี้คงจะไม่ยั่งยืน เพราะไม่ได้มาจากพื้นฐานเศรษฐกิจที่ดีขึ้น

"เงินต่างชาติที่ไหลเข้าช่วงนี้ส่วนหนึ่งเป็นพวกที่ตกรถไฟ และมีกำไรจากการลงทุนในตลาดหุ้น อื่นๆมาแล้ว 30-40% จึงเจียดกำไรเข้ามาลงทุนหุ้นไทย โดยพบว่าต่างชาติส่วนใหญ่ที่เข้ามาจะเป็นพวก ซื้อขายเก็งกำไรระยะสั้นมากกว่า หากเกิดอะไรก็ พร้อมขายออกทันที หรือหากมีกำไร 10-20% ก็พร้อมจะขายเช่นกัน"


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า MSCI ได้ทบทวนการคำนวณดัชนีที่ให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกเป็นรายไตรมาส รอบนี้หุ้นไทยได้รับผลกระทบแรงถูกถอดหุ้นออกไป 2 ตัว

จึงส่งผลกระทบให้ น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในดัชนี MSCI Asia Ex-Japan ลดลง ซึ่งเป็นดัชนีที่ให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียยกเว้นญี่ปุ่น และเป็นดัชนีที่กองทุนจากทั่วโลกจะใช้เป็นหลักในการแบ่งสัดส่วนใส่เงินเข้าไปลงทุน ซึ่งผลครั้งนี้ทำให้ส่วนแบ่งของเงินที่เดิมตลาดหุ้นไทยมีน้ำหนักหรือได้ ส่วนแบ่ง 2% ลดลงเหลือ 1.8% ซึ่งเมื่อแปลงเป็นเม็ดเงินแล้วถือว่ามีผลกระทบมาก

สำหรับการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นอื่นๆในเอเชียที่เฉลี่ยปรับตัวลงต่ำกว่าหุ้นไทย พบว่า ดัชนีคอมโพสิต ตลาดหุ้นอินโดนีเซียปรับตัวลงมากสุด ลดลง 66.33 จุด หรือ -3.58% มาปิดที่ 1,785 จุด ตามด้วยดัชนีฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิด 16,541.69 จุด ลดลง 517.93 จุด หรือ -3.04% ดัชนี สเตรทไทม์ ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ปิดตลาดที่ 2,122.11 จุด ลดลง 63.18 จุด หรือ -2.89% ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ดัชนีนิเคอิ ปิด 9,093.73 จุด ลดลง 246.76 จุด หรือ -2.64% ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ดัชนีคอมโพสิต ปิดที่ 1,380.95 จุด ลดลง 33.57 หรือ-2.37% ตลาดหุ้นไต้หวัน ดัชนีเวทเต็ด ปิดที่ 6,364.17 จุด ลดลง 120.97 จุด หรือ -1.87% และตลาดหุ้นจีน ดัชนีเซี่ยงไฮ้ ปิด 2,639.89 จุด ลดลง 23.88 จุด หรือ-0.90%

เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์