ซาบซึ้ง!!! เข้ากราบพระบรมศพเบื้องหน้าพระบรมโกศ ทำไมต้องมาวันแรก??

ซาบซึ้ง!!! เข้ากราบพระบรมศพเบื้องหน้าพระบรมโกศ ทำไมต้องมาวันแรก??

หลังเข้ากราบพระบรมศพฯ เบื้องหน้าพระบรมโกศ ซึ่งพสกนิกรกลุ่มแรกเผยความรู้สึกด้วยน้ำตา ตั้งใจมาวันแรก ไม่อยากรอแม้เพียงวันเดียว

ตามที่มีพระราชานุญาตให้ประชาชนเข้าถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ภายหลังพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลครบ 15วัน ได้ตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค.2559 เป็นต้นไป เวลา 08.00-21.00 น.ทุกวัน (ยกว้นช่วงมีพระราชพิธีบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท) นั้น

วันนี้ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง มีประชาชนจำนวนมาก จากทั่วทุกสารทิศต่างเดินทางมาจองบัตรคิวเพื่อให้ได้เข้าไปสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหาราชผู้เป็นที่รักและศรัทธายิ่งของปวงชนชาวไทย บางคนนอนกลางดิน ทนหนาวเย็นจากน้ำฝนมาตั้งแต่เมื่อคืนวาน แต่อุปสรรคเหล่านี้ไม่ได้มาขวางกั้นศรัทธาอันแรงกล้าผนวกกับความจงรักภักดีของปวงพสกนิกรชาวไทยทีมีต่อพ่อแห่งแผ่นดิน

ต่อมา เวลาสำนักพระราชวังได้เปิดให้ประชาชนเข้าสักการะพระบรมศพบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาม บรรยากาศของการสักการะพระบรมศพเป็นไปด้วยความเศร้าโศกยังคงมีเสียงสะอื้นไห้พร้อมคราบน้ำตาของความโศกเศร้า พสกนิกรหลายคน นำภาพพระบรมฉายาลักษณ์ ในพระอิริยาบถต่างๆมาถือไว้แนบอก พร้อมตั้งจิตอฐิฐานต่อหน้าดวงพระวิญญาณว่าหากเกิดชาติหน้าขอได้เป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป

นายกล้า ลอดสันเที๊ยะ พร้อมด้วย นางยุพิน คำทองหลาย และลูกสาว เด็กหญิงกังสฎา คำทองหลาย วัย 10 ปี เดินทางมาจาก อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มแรกที่ได้เข้าถวายสักการะพระบรมศพในเวลา 05.15 น.​

โดยภายหลังถวายสักการะเสร็จแล้ว เจ้าตัวเล่าว่าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ขณะที่ถือพระบรมฉายาลักษณ์ ซึ่งพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานแก่พสกนิกรทุกคนที่เข้าถวายสักการะพระบรมศพ สำหรับให้ประชาชนเก็บไว้เป็นที่ระลึก เป็นภาพพระบรมโกศพระบรมศพสี่สี ขนาด 5X7 นิ้ว ว่าเดินทางมารอถวายสักการะถึงตั้งแต่เวลา 21.15 น. ของวันที่ 28 ตุลาคม 2559 ด้วยความตั้งใจแม้ว่าฝนตกหนักก็ไม่ท้อ เพราะเป็นครั้งเดียวในชีวิตที่อยากเข้ามาแสดงความรักต่อพระองค์ท่าน เพราะทรงช่วยเหลือประชาชน ได้เห็นทุกคนได้รบความรักความช่วยเหลือโดยไม่เคยทรงคิดถึงพระองค์เองเลย ไม่ว่าจะเป็นถิ่นทุรกันดารทั้งขึ้นภูเขาข้ามลำห้วยลำบากเพียงใดก็ไม่ทรงท้อ ด้วยเหตุนี้ตนเองและครอบครัวจึงตั้งใจอยากมาร่วมส่งพระองค์เป็นครั้งสุดท้าย

อีกหนึ่งคนที่ตั้งใจมาร่วมถวายสักการะหน้าพระบรมศพเป็นกลุ่มแรกของวันนี้ นางกมลวรรณ สุขเขียว อายุ 59 ปี ซึ่งเดินทางมาจากศาลายาตั้งแต่ 17.00 น. โดยมาคนเดียว เล่าว่าก่อนหน้านี้ได้มาลงนามถวายความอาลัยต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล ที่ศาลาสหทัย 4 ครั้ง และเมื่อได้ทราบว่าวันที่ 29 ตุลาคมนี้ สำนักพระราชวังเปิดให้เข้าสักการะหน้าพระบรมศพจึงตั้งใจมาอีกครั้ง แม้ว่าเพื่อนๆ จะชวนให้รอมาวันหลังแต่ตนเองไม่อยากรอแม้เพียงวันเดียว เพราะอยากมาแสดงความรักต่อพระองค์ท่าน ถึงจะต้องรอนานแค่ไหนหรือต้องตากฝนตากแดดก็ไม่ท้อ เพราะพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงลำบากที่ทรงทำเพื่อประชาชนมากกว่านี้หลายร้อยหลายพันเท่า

ทั้งนี้นางกมลวรรณเล่าพร้อมกับน้ำตาว่า ทั้งที่พระองค์สวรรคตไปแล้ว 16 วันแต่ตอนที่ขึ้นไปกราบใกล้ๆ รู้สึกใจหาย น้ำตาไหล ไม่อยากให้ทรงสวรรคต อยากให้พระองค์ท่านอยู่กับประชาชนไปนานๆ เมื่อถามถึงสิ่งที่น้อมนำพระราชดำริใดมาใช้ในการดำเนินชีวิต เจ้าตัวเผยว่า เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง อยู่อย่างพอกินพอใจ รู้จักประมาณตนเอง

นายดาว บุญแจ่ม พสกนิกรชาวจังหวัดพิษณุโลก หนึ่งในประชาชนกลุ่มแรก ที่ได้ขึ้นไปสักการะพระบรมศพ บนพระที่นั่งดุสิต ได้เดินทางมาจากบ้านเกิดที่ จ.พิษณุโลก พร้อมกับครอบครัวพ่อแม่ลูกอีก8 คน ตั้งแต่หัวค่ำเมื่อวานนี้ ถึงแม้จะเจอกับสายฝนที่โหมกระหน่ำมาอย่างหนักก็ไม่เคยหวั่นเกรง ด้วยจิตแห่งความภักดีหนุ่มใหญ่วัย40 เศษพร้อมลูกน้อยก็ผ่านอุปสรรคเหล่านี้ไปได้ด้วยดี

นายดาว กล่าวว่ารู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่จากนี้ต่อไปจะไม่มีพระองค์ท่านอีกแล้ว แต่ลึกๆในใจก็คิดว่าพ่อจะได้พักผ่อนไม่ต้องเหนื่อยเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว เพราะอย่างน้อยพระองค์ท่านก็ยังสถิตอยู่ในใจพวกเราปวงพสกนิกรชาวไทย

"ตอนแรกก็เหมือนผมจะทำใจกับการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่นี้ได้ แต่พอได้ดูทีวีแล้วเห็นภาพพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่านที่ทรงงานหนักตลอดเวลาไม่เคยทรงหยุดพักแม้แต่วินาทีเดียว พระองค์ท่านทรงทำงานหนักเพื่อคนอื่นตลอดเวลา มิเคยย่อท้อต่ออุปสรรคและปัญหาที่ขวางอยู่ด้านหน้า สิ่งเหล่านี้เองล้วนเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้ผมไม่เคยกลัวและหวั่นเกรงกับปัญหาใดๆ พร้อมที่จะใช้ชีวิตอย่างมีสติเพื่อเตรียมรับมือกับปัญหาที่รออยู่ข้างหน้า"

นอกจากนี้นายดาว ยังกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ พร้อมน้ำตาคลอสองเบ้าว่า ถ้าแม้เลือกได้ผมขอแลกชีวิตของผมเพื่อให้พระองค์ท่านยังทรงอยู่เป็นมิ่งขวัญของชาวไทยตลอดไป และถ้าชาติหน้ามีจริงผมขอเกิดเป็นข้ารองพระบามทุกชาติไป

นางอุสุมา โชตินอก วัย 56 ปี เผยว่าเดินทางมาตั้งแต่บ่ายของวันที่ 28 ต.ค. เพราะตั้งใจมานั่งรอเข้าถวายสักการะพระบรมศพ เป็นคิวแรกๆ อดทนทั้งคืนไม่ได้นอน ระหว่างรอก็ช่วยจิตอาสาแพ็คข้าวแจกประชาชนที่จะมาตอนเช้าไปด้วย จนตอนเช้ามืดเจ้าหน้าที่ก็เรียกให้มาเข้าแถว รอเข้าไปถวายสักการะพระบรมศพ

"เข้าไปด้านในแล้วน้ำตาไหลตลอด ยิ่งใกล้ก็ยิ่งคิดถึงพระองค์ท่าน ตอนนั้นมองไปที่พระบรมโกศ ก้มกราบแล้วคิดบอกพระองค์ว่าจะนำเรื่องราวของท่านบอกต่อแก่ลูกหลาน ไม่ให้คนรุ่นหลังลืมเลือน และปลาบปบื้มใจมาที่ได้เกิดมาเป็นคนไทยในรัชกาลที่ 9 เกินครึ่งชีวิตที่ได้อยู่ในใต้ร่มพระบารมีของพระองค์ท่าน จะไม่ลืมเลือนพระกรุณาธิคุณทุกๆ เรื่องที่ทรงมอบให้คนไทยเลย" นางอุสุมา กล่าวทั้งน้ำตา


ซาบซึ้ง!!! เข้ากราบพระบรมศพเบื้องหน้าพระบรมโกศ ทำไมต้องมาวันแรก??


Cr.bangkokbiznews

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์