ฉาวอีก! ตำราเรียนล่องหน 2ปีหาย1.2ล้านเล่ม ขาดคลังเก็บสูญ70ล.

ฉาวอีก! ตำราเรียนล่องหน 2ปีหาย1.2ล้านเล่ม ขาดคลังเก็บสูญ70ล.

ฉาวอีก! ตำราเรียนองค์การค้าฯ ปี′56-57 ล่องหนเกือบ 1.2 ล้านเล่ม สูญเงินเฉียด 70 ล้าน ปฏิบัติหน้าที่ ผอ.องค์การค้าฯตั้ง กก.สอบ 7 วัน เร่งสรุปผลรายงาน "บิ๊กเข้" 23 มิ.ย. ชี้ปัญหาอาจมาจากเช่าแท่นพิมพ์เอกชน

ความคืบหน้ากรณีสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.) นำเงินกองทุนเงินสนับสนุนพิเศษและส่งเสริมความมั่นคงตามโครงการสวัสดิการเงินกู้ ของกองทุนการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) วงเงิน 2,500 ล้านบาท ไปซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินกับบริษัท บิลเลี่ยน อินโนเวเท็ด กรุ๊ป จำกัด ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตรวจสอบหลักทรัพย์ที่บริษัทบิลเลี่ยนฯ นำมาค้ำประกัน พบว่าเกือบทั้งหมดเป็นของปลอม หรือถ้าเป็นเอกสารจริง ก็ไม่มีมูลค่าตามที่ระบุไว้ โดยชี้ว่าการดำเนินการของคณะกรรมการบริหารกองทุน เจ้าหน้าที่ของ สกสค.ที่เกี่ยวข้องกับการอนุมัติซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินกับบริษัทบิลเลี่ยนฯ เป็นการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ล่าสุดสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) มีมติให้อายัดทรัพย์ของอดีตผู้บริหาร สกสค.กับพวก และบริษัทบิลเลี่ยนฯ จำนวน 146 รายการ มูลค่า 183 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน นายพินิจศักดิ์ สุวรรณรังค์ ผู้ตรวจราชการ ศธ. ในฐานะปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการ สกสค. เปิดเผยว่า ขณะนี้ สกสค.ยังไม่สามารถแจ้งให้ดีเอสไอรับกรณีของบริษัทบิลเลี่ยนฯ เป็นคดีพิเศษได้ เพราะจนถึงขณะนี้ขั้นตอนการแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจกรณีหลักทรัพย์ค้ำประกันบางรายการที่บริษัทบิลเลี่ยนฯ นำมาค้ำในการขายตั๋วสัญญาใช้เงินให้กับสกสค.เป็นของปลอมนั้นยังไม่เรียบร้อย ทั้งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขอให้ สกสค.ไปให้ข้อมูลหลายครั้งแล้ว ซึ่งไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะสาเหตุใดจึงมีความล่าช้า

นายพินิจศักดิ์ยังกล่าวถึงความคืบหน้าการทวงเงินตั๋วสัญญาเงินจำนวน 2,500 ล้านบาท ว่า สกสค.ได้ส่งหนังสือขอให้นายสัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา หรือเสี่ยบิ๊ก เจ้าของบริษัทบิลเลี่ยนฯ นำเงินจำนวน 2,500 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยและเบี้ยปรับนับแต่วันที่ครบกำหนดชำระเงิน มาคืน สกสค.ภายในวันที่ 11 มิถุนายน ซึ่งขณะนี้ก็ครบกำหนดแล้ว แต่นายสัมฤทธิ์ยังไม่ได้ติดต่อกลับมา ดังนั้นจะหารือฝ่ายกฎหมายเพื่อฟ้องดำเนินคดีแพ่งกับนายสัมฤทธิ์ ส่วนคดีอาญาเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะทุกอย่าง สกสค.ได้แจ้งความไว้หมดแล้ว

"สกสค.ส่งหนังสือ 2 ฉบับ ฉบับแรกส่งไปวันที่ 2 มิถุนายน ถึงบริษัทบิลเลี่ยนฯ และนายสัมฤทธิ์ ในฐานะผู้ค้ำประกันตั๋วสัญญาเงินกู้ ขอให้มาชำระเงิน สกสค.จำนวน 2,500 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยและเบี้ยปรับนับแต่วันที่ครบกำหนดชำระเงิน ส่วนฉบับที่ 2 ส่งไปเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน ถึงตัวนายสัมฤทธิ์โดยตรงในฐานะผู้ค้ำประกันในการขายตั๋วสัญญา โดยให้นำเงินจำนวน 2,500 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยและเบี้ยปรับนับแต่วันที่ครบกำหนดชำระเงินมาคืน สกสค.ภายในวันที่ 11 มิถุนายน ซึ่งหนังสือทั้งสองฉบับได้ส่งถึงนายสัมฤทธิ์แล้วแน่นอน เพราะมีหลักฐานเป็นใบนำส่งของไปรษณีย์ ซึ่งหมายความว่ามีผู้รับหนังสือทั้งสองฉบับเรียบร้อยแล้ว เมื่อนายสัมฤทธิ์ไม่ติดต่อกลับก็ต้องฟ้องดำเนินคดีแพ่งตามกฎหมาย โดยจะรายงานความคืบหน้าทั้งหนดให้ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารองค์การค้าของ สกสค.ทราบในวันที่ 23 มิถุนายนนี้" นายพินิจศักดิ์กล่าว

ด้านการตรวจสอบกรณี สกสค.นำเงินกองทุนเงินสนับสนุนพิเศษฯ ช.พ.ค.ไปซื้อหุ้นกับบริษัท หนองคายน่าอยู่ จำกัด จำนวน 800 ล้านบาท แต่มีกระแสข่าวว่าจ่ายจริงแค่ 320 ล้านบาท ซึ่งมีการตั้งข้อสงสัยว่าเงินส่วนต่างหายไปไหนนั้น นายพินิจศักดิ์กล่าวว่า เรื่องนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูล ซึ่งคณะกรรมการที่ตรวจสอบเรื่องนี้ยังไม่ได้รายงานเข้ามา

แหล่งข่าวระดับสูงจากกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่า จากการตรวจสอบปัญหาทุจริตโครงการต่างๆ ใน สกสค. พบแนวโน้มการทุจริตเพิ่มเติม โดยพบว่าหนังสือเรียนหายจากคลังเก็บหนังสือตั้งแต่ปี 2556-2557 จำนวน 1,178,764 เล่ม คิดเป็นเงินจำนวน 68,597,656 บาท ซึ่งหนังสือดังกล่าวได้เช่าเครื่องพิมพ์ของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในการจัดพิมพ์ แต่จำนวนหนังสือที่ส่งเข้าในคลังสินค้ากับจำนวนที่สั่งพิมพ์ไม่ตรงกัน มีหลายรายการที่เป็นแบบนี้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันยังไม่สามารถหาสาเหตุการสูญหายได้ เหตุการณ์ดังกล่าวไม่เคยเกิดขึ้นในองค์การค้าฯมาก่อน เนื่องจากองค์การค้าฯมีระบบการตรวจสอบที่เป็นขั้นตอน ปัญหาที่เกิดขึ้นถือเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของอดีตผู้บริหารในช่วงนั้น ซึ่งนายสุเทพ ชิตยวงษ์ ผู้ตรวจราชการ ศธ. ในฐานะปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการองค์การค้าของ สกสค. เตรียมแจ้งให้คณะกรรมการบริหารองค์การค้าของ สกสค.ทราบในวันที่ 23 มิถุนายนนี้ และจะแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ขโมยหนังสือด้วย

ด้านนายสุเทพกล่าวว่า เมื่อเร็วๆ นี้ได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่องค์การค้าฯว่าอาจจะมีหนังสือเรียนที่จัดพิมพ์โดยองค์การค้าฯสูญหายจำนวนมากจึงได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบว่ามีหนังสือสูญหายไปจริงหรือไม่ และหายไปจำนวนเท่าไร และให้รายงานกลับมาภายใน 7 วัน เพื่อรายงานให้คณะกรรมการบริหารองค์การค้าของ สกสค. ที่มี พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รมว.ศธ. รับทราบ และหาแนวทางแก้ไขปัญหาในวันที่ 23 มิถุนายน เบื้องต้นหากพบว่ามีหนังสือหายจริงต้องดำเนินการแจ้งความตามกฎหมาย ขณะนี้กำลังแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในองค์การค้าฯ ซึ่งที่ผ่านมาทราบว่ามีการเช่าแท่นพิมพ์มาพิมพ์หนังสือจำนวนมาก แต่เมื่อพิมพ์ออกมาแล้วไม่มีที่เก็บ อาจเป็นช่องทางหนึ่งที่ทำให้เกิดการเล็ดลอดสูญหายไปได้ โดยอาจจะเสนอสร้างโกดังเก็บหนังสือขององค์การค้าฯ เมื่อจัดพิมพ์เสร็จ ก็จัดส่งไปเก็บที่โกดังในจังหวัดต่างๆ ทันที ก่อนกระจายไปในโรงเรียนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาแบบนี้อีก

ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการองค์การค้าฯกล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาพยายามบริหารองค์การค้าฯโดยใช้นโยบายลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ให้มากที่สุด ผลจากการบริหารจัดการดังกล่าวทำให้ขณะนี้สามารถประหยัดงบประมาณที่ไม่จำเป็นได้แล้วกว่า 290 ล้านบาทต่อเดือน รวมถึงปรับลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นในส่วนต่างๆ ลง อาทิ ยกเลิกสัญญาจ้างบุคลากรประมาณ 100 อัตรา ยกเลิกสัญญาการเช่ารถตู้ที่ไม่ได้ใช้งานประจำ รวมถึงยกเลิกโครงการต่างๆ ที่อาจไม่สามารถเห็นผลในทางปฏิบัติได้จริง เป็นต้น ส่วนความคืบหน้าในการตรวจสอบปัญหาภายในองค์การค้าฯของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ(คตร.) ได้เข้ามาขอข้อมูลและตรวจสอบปัญหาต่างๆ หลายเรื่อง แต่ยังไม่ทราบผลการตรวจสอบว่าพบปัญหาในเรื่องใดบ้างที่ส่อไปในทางทุจริต ปัญหาที่เกิดขึ้นสหภาพแรงงานองค์การค้าฯได้แสดงความห่วงใยว่า อยากให้ คตร.เร่งตรวจสอบและออกมาเปิดเผยข้อมูลว่าพบปัญหาการทุจริตภายในองค์การค้าฯหรือไม่ หากพบ มีเรื่องใดบ้างเพื่อจะได้ดำเนินการแก้ไขโดยเร็ว

พล.ร.อ.ณรงค์กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการคุรุสภาว่าที่ประชุมรับทราบกรณีนายเกษม กลั่นยิ่ง ที่ปรึกษาสำนักงานเลขาธิการคุรุสภา ขอลาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง และกรณีนายสุรินทร์ อินทรรักษา รองเลขาธิการคุรุสภา ลาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากจะไปรายงานตัวเข้ารับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนในสังกัดงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) เชียงใหม่ เขต 2 สำหรับรองเลขาธิการที่เหลืออีก 3 คน คือ นายสนอง ทาหอม นายสำเริง กุจิรพันธ์ และนายก๊ก ดอนสำราญ ที่ประชุมมีมติให้สำนักงานคุรุสภาทำหนังสือแจ้งไปยังทั้ง 3 คน ว่าจะต้องยุติการดำรงตำแหน่ง ซึ่งเป็นไปตามคำสั่งบอกเลิกจ้างนายอำนาจ สุนทรธรรม เลขาธิการคุรุสภา ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคมด้วย นอกจากนั้นที่ประชุมยังได้พิจารณาหนังสืออุทธรณ์การบอกเลิกจ้างของนายอำนาจ โดยที่ประชุมมีมติไม่รับอุทธรณ์

"ส่วนการตรวจสอบปัญหาการทุจริตภายใน สกสค. ซึ่งนายเกษมเป็นประธานกองทุนเงินสนับสนุนพิเศษฯ ช.พ.ค.นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบของหน่วยงานต่างๆ ทั้งสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) คงต้องรอดูผลการตรวจสอบของหน่วยงานเหล่านี้ หากหน่วยงานใดเห็นว่ามีส่วนเกี่ยวข้องก็สามารถเรียกนายเกษมไปให้ข้อมูลได้" รัฐมนตรีว่าการ ศธ.กล่าว

เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์