ขึ้นภาษีฟุ่มเฟือยดัดนิสัยวัยรุ่น

นายพิชัย นริพทะพันธ์ รมช.คลัง เปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยมกรมสรรพสามิตว่า ได้สั่งการให้กรมฯ ขยายฐานภาษีสินค้าฟุ่มเฟือย

เพื่อตอบสนองแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง และลดการใช้สินค้าฟุ่มเฟือยลง โดยเฉพาะกลุ่มนิสิตนักศึกษา อาทิ เครื่องสำอาง น้ำหอม โทรศัพท์เคลื่อนที่ รวมถึงปิดช่องโหว่ในการจัดเก็บรายได้ ที่ยังจัดเก็บไม่ทั่วถึง แต่จะยังไม่ระบุสินค้า ต้องศึกษาให้รอบ คอบก่อน รวมถึงให้เร่งหาทางจัดเก็บสินค้า เพื่อป้องกันปัญหาโลกร้อน โดยเฉพาะมลพิษที่ปล่อยจากโรงงาน ต้องการให้จัดเก็บจากโรงงานและผู้ใช้สินค้ามลพิษดังกล่าว
 
พร้อมกันนี้ให้เร่งปรับโครงสร้างภาษี รวมถึงส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนทั้งระบบ

โดยเฉพาะน้ำมันอี 85 ที่ใช้อ้อยและมันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบในการผลิตเอทานอล โดยมีแนวคิดส่งเสริมให้นำเข้าอุปกรณ์ปรับเปลี่ยนเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์ที่เปลี่ยนจากน้ำมันเบนซินมาเป็นอี 85 ได้ ซึ่งต่างประเทศใช้แพร่หลายแล้วราคา 10,000 บาท และจะไม่เก็บภาษีนำเข้าช่วง 1-2 ปีแรก เพื่อส่งเสริมการใช้อี 85 ระหว่างที่การผลิตรถยนต์อี 85 ยังไม่เรียบร้อย
 
“ผมจะหารือร่วมกับค่ายรถยนต์ต่าง ๆ ถึงทิศทางที่ชัดเจนของรัฐบาล ว่าจะสนับสนุนการใช้เอทานอลในรถยนต์ เพื่อให้การผลิตรถเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพราะปัจจุบันไทยมีสต๊อกแอลกอฮอล์กว่า 5 ล้านลิตร ส่วนค่าย รถยนต์ใดที่ผลิตรถเพื่อใช้อี 20 ก็เดินหน้าต่อไป ยืนยันว่าผู้ผลิตและผู้บริโภคที่ซื้อรถอี 20 จะไม่เสียเปรียบ หากมี   อี 85 ออกมา”
 
ทั้งนี้แนวคิดดังกล่าวยังเป็นแนวคิดเบื้องต้น ต้องหารือกับนายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลังอีกครั้งก่อน เพื่อผลักดัน ให้เป็นนโยบายรัฐบาล

หากรัฐบาลเห็นด้วย ต้องหารือในรายละเอียด และหาหน่วยงานรับผิดชอบโดยตรง รวมทั้งขอความร่วมมือจากเอกชน นอกจากนี้จะหารือเรื่อง แนวทางการทยอยขึ้นภาษีน้ำ มันสรรพสามิตด้วยโดยหากราคาน้ำมันในตลาดโลกลงมาต่ำกว่า 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลก็จะให้ขึ้นภาษี เพื่อลดการใช้น้ำมันที่ไทยต้องสูญเสียรายได้ถึงปีละกว่า 1,000 ล้านล้านบาท และลดการสูญเสียรายได้ของสรรพสามิต 32,000 ล้านบาทในรอบ 6 เดือน ที่รัฐดำเนิน 6 มาตรการ 6 เดือนด้วย เนื่องจากพบว่าตั้งแต่ราคาน้ำมันโลกลดลงมาจนถึงปัจจุบัน ส่งผลให้ราคาขายปลีกลงมาลิตรละ 7-8 บาทแล้ว
 
นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมน ตรี และ รมว.คลัง กล่าวว่า ยืนยันว่าจะไม่เพิ่มภาษีภายในช่วงที่ดำเนินมาตรการดังกล่าว แต่หลังจากนั้น จะกลับไปใช้อัตราเดิมหากราคาน้ำมันปรับลดลงมาที่ 70-80 เหรียญต่อบาร์เรล.