ขยายผลจากพ่อค้าโรตี สู่แก๊งค้ามนุษย์โรฮิงยา ดีเอสไอ-ทหารบุกจับ


ใครจะไปรู้ว่าการจับกุมแขกขายโรตี 13 ราย ตามท้องถนนทั่วกรุงเทพฯ เมื่อหลายเดือนก่อนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จะนำไปสู่การขยายผลและจับกุมกลุ่มขบวนการค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญารายใหญ่และรายสำคัญเอาไว้ได้ในเวลาต่อมา

จับได้ชนิดขุดรากถอนโคนเลยทีเดียว!?!

เมื่อกลางเดือนมิ.ย. ที่ผ่านมา พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ผนึกกำลังทหารนำโดยพล.ท.เชาวฤทธิ์ ประภาจิตร์ ผบ.ศูนย์รักษาความปลอดภัย บุกจับกุมตัวนายมะฮัมหมัด อาลี ฮุสเซ็น อายุ 49 ปี ชาวโรฮิงยา ผู้ต้องหาลักลอบเข้าประเทศเอาไว้ได้ จับกุมได้ที่อ.เกษตรสมบูรณ์ จ.ชัยภูมิ หลังสืบทราบมาว่านายมะฮัมหมัด เป็นหัวหน้ากลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติรายใหญ่

เป็นเครือข่ายค้าแรงงานและค้ามนุษย์ มีหลักฐานเชื่อมโยงกลุ่มผู้มีอิทธิพลทางภาคใต้ และยังเป็นนายหน้าค้าอาวุธสงครามร่วมกับกบฏ "อีแลม" อีกด้วย ก่อนหน้านี้ยึดพื้นที่อ.หาดใหญ่เป็นที่อยู่อาศัย

ดีเอสไอจึงผนึกกำลังทหารเข้าจับกุมตัวไว้

นอกจากนายมะฮัมหมัด อาลี ฮุสเซ็น แล้วเจ้าหน้าที่ยังขยายผลจับกุมนายมะฮัมหมัด หมัดบาเหม (หรือบาบูจิ) อายุ 39 ปี และนายนายชุบรี อาแว หรือ "จิ๊บ" อายุ 20 ปี ชาวโรฮิงญา เพื่อนร่วมแก๊งเอาไว้ได้อีก 2 ราย ทั้งหมดร่วมกันปลอมแปลงเอกสารทางราชการ จับได้พร้อมของกลางเป็นเอกสารทางการเงิน เครื่องคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์การปลอมแปลงเอกสารมากมาย

แก๊งนี้ทำกันเป็นขบวนการใหญ่

ตามรายงานที่ดีเอสไอบันทึกไว้ ระบุว่า คนร้ายแก๊งนี้มีความเชี่ยวชาญในการปลอมแปลงเอกสารราชการ อาทิ ตราประทับเข้า-ออก ราชอาณาจักรไทย เพื่อช่วยเหลือคนงานต่างด้าว โดยเฉพาะชาวโรฮิงยา เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย โดยนายมะฮัมหมัด อาลี ฮุสเซ็น จะเป็นตัวกระจายชาวโรฮิงยา ไปทำงานในพื้นที่ต่างๆ รวมทั้งยังเป็นขบวนการจัดส่งลูกแพะ (แรงงานต่างด้าว) ชาติต่างๆ อาทิ ศรีลังกา ปากีสถาน และอิหร่าน ลักลอบเข้า-ออกประเทศไทย เพื่อไปยังประเทศที่สามต่อไป

คิดราคา 200,000 บาทต่อคน!!

เกี่ยวกับกลุ่มโรฮิงยาเหล่านี้ ทางการข่าวทหารพบว่าหลบหนีเข้าประเทศมาอย่างยาวนานกว่า 10 ปีแล้ว ชุดแรกเข้ามาอยู่เมืองไทย เมื่อประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา จำนวน 25 คน ปัจจุบันยังคงพำนักอยู่ในเมืองไทย 15 คน อยู่ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต และยังคงมีความเคลื่อนไหวที่น่าจับตา คือมีการพบปะกันทุกเดือน เดือนละครั้งสองครั้ง

โดยการพบตามบ้านเรือน วนเวียนกันไปเรื่อยๆ ซึ่งโรฮิงยากลุ่มนี้ ส่วนใหญ่กลายเป็นประชากรคนไทยโดยพัฒนาการไปสู่การมีครอบครัวเป็นคนไทย มีภรรยาเป็นคนไทย กระทั่งบางคนสามารถทำบัตรประจำตัวประชาชนไทย โดยการทุจริตร่วมกับข้าราชการบางคนออกบัตรประชาชน

ความผูกพันธ์ของขบวนการค้ามนุษย์โรฮิงยา กับชนเผ่าโรฮิงยา ไม่แปรเปลี่ยนไปมากนัก ทุกคนที่เข้ามาทำงานในเมืองไทยจะต้องลงขันลงเงินกลับไปช่วยเหลือชาวโรฮิงยา ที่เป็นพี่น้องสายเลือดอิสลามด้วยกัน และปณิธานของโรฮิงยา ก็คือ
การหาเงินวิธีการไหนก็ได้เพื่อนำไปการช่วยเหลือเพื่อนพี่น้องชาวโรฮิงยาด้วยกัน

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา โรฮิงยาได้พัฒนาการต่อสู้หลายรูปแบบ โดยเฉพาะรวมตัวกันตั้งเป็นองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน เข้ามาเรียกร้องทางการไทยหลายหน่วยงาน เพื่อรองรับความเคลื่อนไหวทางสิทธิมนุษยชน แต่ความเคลื่อนไหวของกลุ่มที่อ้างตัวเป็นแกนนำองค์กรสิทธิมนุษยชนนั้น ถูกจับตามองว่า อาจจะเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดอาญาตามกฎหมายหลายมาตรา โดยเป้าหมายแห่งความสำเร็จที่เป็นที่ต้องการของโรฮิงยา คือ การได้ประเทศ สัญชาติ

โดยมีแผนการเดินทางไปยังประเทศที่สาม โดยเฉพาะ มาเลเซีย อินโดนีเซีย เพื่อซ่องสุมกำลัง

ในปัจจุบัน โรฮิงยา ที่เป็นแกนนำได้พัฒนาการจนประสบความสำเร็จและอยู่ในข่ายอาชญากรรมข้ามชาติไปแล้ว!!

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา หัวหน้ากลุ่มขบวนการค้าโรฮิงยา ก็เคยถูกทางการไทยจับกุมดำเนินคดีไปหลายคน อาทิ นายโมฮัมหมัด การิม นักปลอมแปลงเอกสาร และค้าหนังสือเดินปลอม เคยร่วมงานกับนายมะฮัมหมัด อาลี ฮุสเซ็น เมื่อเดือนเมษายน 2551 ถูกทางการไทย จับกุมพร้อมของกลางหนังสือเดินทางปลอมจำนวนมาก และ นายอับดุล สลาม มีพฤติกรรม ค้าเอกสารปลอม และลักลอบส่งออกลูกแพะไปยังประเทศที่สาม เช่น ออสเตรเลีย และยุโรป มีฐานที่มั่นอยู่ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานโรฮิงญาในมาเลเซียก็ถูกจับกุมในตอนหลัง

ทั้งคู่ล้วนเป็นเครือข่ายคนสำคัญ

เรื่องราวชีวิตของชาวโรฮิงยา อยู่ท่ามกลางปมปัญหาสารพัด ด้านหนึ่งก็ถูกกดขี่ย่ำยี จนแทบไม่มีแผ่นดินจะอยู่อาศัย จึงทำให้ต้องดิ้นรนหลบหนีไปตายเอาดาบหน้า อย่างน่าเห็นใจและน่าสงสาร พร้อมๆ กับกระบวนการเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน เพื่อเรียกร้องให้ทุกประเทศ มองคนเหล่านี้อย่างเคารพในความเป็นมนุษย์

แต่อีกด้าน การดิ้นรนของชาวโรฮิงยา ก็ถูกจับตามองจากฝ่ายความมั่นคงว่า อาจจะไปเกี่ยวพันกับขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ ขบวนการค้ายาเสพติด ไปจนถึงขบวนการก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดน

เพราะความจำเป็นด้านเงินทอง ไปจนถึงความคับแค้นที่ถูกกดขี่

"โรงฮิงยา" จึงเป็นปัญหาใหญ่ที่ไทยต้องเร่งแก้ ทั้งเพื่อความมั่นคงของเราเองและไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วย!!?

เครดิต :
เครดิต : เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์ข่าวสด


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์