BTSสั่งแก้คนตกรางรถไฟฟ้าจัดให้ขึ้นทีละชุด

คมชัดลึก : สาวใหญ่แบงก์กรุงไทยพลัดตกลงไปในรางรถไฟฟ้าบีทีเอส ผู้ใช้บริการนับร้อยช็อกรถวิ่งคร่อมร่างทั้งขบวน แต่รอดปาฏิหาริย์ นอนทรุดอยู่ใต้ท้องรถ จนท.สั่งหยุดเดินรถ พร้อมตัดไฟฟ้าเข้าช่วยเหลือก่อนหามส่ง รพ. เจ้าตัวหัวแตก กระดูกร้าว เผยหน้ามืดพลัดตก ขณะที่ผู้บริหารเข้มมาตรการปลอดภัย สั่งห้ามยืนรอที่ชานชาลามีผลทันที


ขณะเดียวกันหลังจากหายตกตะลึง นายสถานีที่ได้รับแจ้งเหตุการณ์จึงแจ้งให้ศูนย์ควบคุมการเดินรถตัดกระแสไฟในราง

พร้อมกับโทรศัพท์แจ้งศูนย์กู้ชีพนเรนทรและเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบ พร้อมปิดให้บริการสถานีโดยได้ประกาศให้ผู้โดยสารทราบ และกันไม่ให้ผู้ที่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องเข้าไปในที่เกิดเหตุ พร้อมปิดเดินรถเป็นการชั่วคราว ระหว่างสถานีหมอชิต และสถานีสะพานควาย พร้อมกับถอยขบวนรถไฟฟ้าคันดังกล่าวออกจากบริเวณที่หญิงสาวนอนแน่นิ่งอยู่เพื่อให้ความช่วยเหลือ


ต่อมา ร.ต.ท.อภิสิทธิ์ สุโทสา พนักงานสอบสวน สน.บางซื่อ

พร้อมด้วย พ.ต.ท.ธนกฤต คุ้มครอง สว.จร.สน.บางซื่อ และเจ้าหน้าที่หน่วยแพทย์กู้ชีพนเรนทร รพ.ราชวิถี ได้เข้าไปตรวจสอบบริเวณที่เกิดเหตุบริเวณชั้น 2 ของสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส หมอชิต พบนางจิราภรณ์ เกียรติชูศักดิ์ อายุ 57 ปี พนักงานธนาคารกรุงไทย สาขาสำนักงานใหญ่ นอนคุดคู้อยู่ระหว่างขอบปูนชานชาลากับรางรถไฟฟ้า มีบาดแผลได้รับบาดเจ็บที่ข้อเท้าและศีรษะด้านหลังแตกเนื่องจากตกลงไปกระแทกพื้นคอนกรีตด้านล่าง เลือดไหลออกมาก จึงรีบปฐมพยาบาลด้วยการสวมเฝือกอ่อนดามคอไว้ แล้วนำตัวส่งโรงพยาบาลวิภาวดี โดยใช้เวลาในการช่วยเหลือนานประมาณ 30 นาที


ร.ต.ท.อภิสิทธิ์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุทราบว่า นางจิราภรณ์ตกลงไปในรางรถไฟฟ้าฝั่งมุ่งหน้าไปทางสถานีสะพานควาย

คาดว่าก่อนเกิดเหตุน่าจะกำลังเดินทางไปทำงาน จากการสอบปากคำพยานที่เห็นเหตุการณ์เบื้องต้นทราบว่า เมื่อนางจิราภรณ์ตกลงไปรถไฟฟ้าก็วิ่งคร่อมมาร่างไปแล้ว แต่ไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด ทั้งนี้ จะประสานกับฝ่ายรักษาความปลอดภัยรถไฟฟ้าบีทีเอส เพื่อขอดูกล้องวงจรปิดในบริเวณดังกล่าวอีกครั้ง และต้องรอให้อาการของผู้ได้รับบาดเจ็บทุเลาลงก่อนจึงจะเดินทางไปสอบปากคำเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป


ด้าน ดร.อาณัติ อาภาภิรม กรรมการบริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด หรือบีทีเอส กล่าวว่า

เบื้องต้นได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ชานชาลาสถานีหมอชิตว่า มีคนพลัดตกลงไปขณะรถไฟฟ้ากำลังเข้าเทียบชานชาลาเพื่อรับผู้โดยสาร จึงสั่งการให้รถไฟฟ้าหยุดเดินรถเพื่อความปลอดภัย โดยจุดที่ตกลงไปเป็นช่องว่างระหว่างรางรถไฟฟ้าชิดขอบปูนชานชาลารถไฟ


อย่างไรก็ตาม หญิงคนดังกล่าวไม่ได้รับบาดเจ็บจากการถูกรถไฟชน มีเพียงศีรษะแตกเท่านั้น

ส่วนสาเหตุคาดว่าน่าจะเกิดจากการยื้อแย่งเบียดเสียดกันขึ้น-ลงรถ ทำให้ผู้เคราะห์ร้ายตกลงไปในราง เนื่องจากวันนี้มีผู้โดยสารจำนวนมากในช่วงเช้า หรืออาจเกิดจากการที่คนเจ็บมีอาการหน้ามืดตกลงไปเอง เพราะที่ผ่านมามีผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าเป็นลมบ่อยครั้ง แต่ทีมงานและ รปภ.แต่ละสถานีช่วยได้ทัน อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่แท้จริงคงต้องรอผลสอบพยานในที่เกิดเหตุ และดูภาพจากกล้องวงจรปิดของสถานีอีกครั้ง


"หากเกิดความหนาแน่นของผู้โดยสารบนชั้นชานชาลา เจ้าหน้าที่สถานีจะกั้นมิให้ผู้โดยสารขึ้นไปบนชั้นชานชาลา โดยจะให้รอที่ชั้นจำหน่ายตั๋ว พร้อมกับประกาศให้ผู้โดยสารทราบเป็นระยะ และจะทยอยเปิดให้ขึ้นไปบนชั้นชานชาลาต่อเมื่อแน่ใจว่าปริมาณผู้โดยสารบนชั้นชาลาไม่หนาแน่น โดยจะเริ่มดำเนินการในสถานีหลักที่มีผู้ใช้บริการมาก เช่น สถานีหมอชิต สถานีอโศก สถานีอ่อนนุช สถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ซึ่งอาจทำให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวกลดลง" ดร.อาณัติกล่าว


นายอาณัติได้แถลงเพิ่มเติมช่วงเย็นอีกว่า  รฟม.จะเริ่มกั้นไม่ให้ผู้โดยสารขึ้นไปเบียดเสียดที่ชานชลา

โดยแบ่งให้รอกันอยู่ที่ชั้นสอง และทยอยขึ้นไปบริเวณชาลชลาเป็นชุดๆ เริ่มโดยจะเริ่มทันทีเพื่อป้องกันเหตุไม่ให้ไปเบียดเสียดกัน โดย รฟม.จะประกาศแจ้งเป็นคร่าวๆ  และเริ่มใช้กับสถานีต้นทางปลายทาง ที่มีผู้โดยสารจำนวนมาก


ขณะที่ พ.ต.อ.โชคชัย ยิ้มพงษ์ ผอ.สถาบันฝึกอบรม การรักษาความปลอดภัยและดับเพลิงกู้ภัย การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.)

ซึ่งดูแลความปลอดภัยภายในรถไฟฟ้าใต้ดิน กล่าวถึงมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยบนชานชาลารถไฟฟ้าทั่วโลกว่า มี 2 ระบบ คือ มีประตูเปิด-ปิดที่ชานชาลา และไม่มีประตูเปิด-ปิดที่ชานชาลา ซึ่งชานชาลารถไฟฟ้า 80-90 เปอร์เซ็นต์ จะไม่มีประตูเปิด-ปิด ส่วนกรณีรถไฟฟ้าใต้ดินมีประตูเปิด-ปิดที่ชานชาลานั้น เนื่องจากเป็นการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในเมืองไทย ซึ่งจะเน้นเรื่องความปลอดภัยสูงสุด และ เก็บกักอุณหภูมิภายในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน


ส่วนกรณีรถไฟฟ้ามหานครไม่มีประตูเปิด-ปิดนั้น พ.ต.อ.โชคชัย ย้ำว่า ประเทศสิงคโปร์ก็ไม่มีประตูเปิด-ปิดที่ชานชาลา จึงมองว่าเป็นเรื่องของความปลอดภัย

ขึ้นอยู่กับตัวคนมากกว่า เรื่องระเบียบวินัย ปกติบริเวณชานชาลาจะมีเส้นเหลือง และตุ่มๆ ซึ่งคนพิการจะเซฟตัวเองมากกว่า แต่คนทั่วไปชอบคิดว่าไม่เป็นไร ทั้งนี้ ความปลอดภัยทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวบุคคล ทั้งผู้กำกับดูแล ผู้ใช้บริการ ต้องเคารพกฎระเบียบ ไม่ล้ำเส้น อย่างที่ประเทศสิงคโปร์ใครล้ำเส้นถูกปรับ 1,000 ดอลลาร์สิงคโปร์


ทั้งนี้ มีรายงานว่า จากการตรวจสอบภาพวงจรปิดในสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสพบว่า ในช่วงที่เกิดเหตุมีประชาชนมาใช้บริการรถไฟฟ้าจำนวนมาก

ระหว่างนั้นนางจิราภรณ์ยืนเบียดเสียดกับผู้คนในช่วงท้ายแถว และยืนห่างจากเส้นเหลืองไม่มากนัก ขณะรถไฟฟ้าวิ่งเข้ามาที่ชานชาลาสถานีหมอชิต โดยหัวขบวนกำลังจะวิ่งมาถึงช่วงท้ายแถวที่นางจิราภรณ์ยืนอยู่ ปรากฏว่านางจิราภรณ์ได้พลัดตกลงไปในรางรถไฟฟ้าระหว่างที่หัวขบวนรถไฟฟ้าบีทีเอสวิ่งมาถึงพอดี ทำให้รถไฟฟ้าที่วิ่งชะลอเข้าสถานีคร่อมร่างนางจิราภรณ์ไปทั้งขบวน กระทั่งรถจอดสนิทพบว่านางจิราภรณ์นอนบาดเจ็บอยู่ใต้ท้องรถไฟฟ้าบีทีเอส ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความแตกตื่นแก่ผู้ใช้บริการและเจ้าหน้าที่สถานีเป็นอย่างมาก
 
วันเดียวกัน เมื่อเวลา 16.30 น. ผู้สื่อข่าว "คม ชัด ลึก" เดินทางไปสัมภาษณ์นางจิราภรณ์ ที่ชั้น 16 หน้าห้องเลขที่ 3617 โรงพยาบาลวิภาวดี

แต่ว่านางจิราภรณ์ยังอยู่ในอาการตกใจ ให้สัมภาษณ์ไม่ได้ โดย นพ.นราธิป ทรงทอง ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ โรงพยาบาลวิภาวดี แพทย์ผู้รักษาอาการนางจิราภรณ์ เปิดเผยว่า หลังจากเจ้าหน้าที่นำตัวนางจิราภรณ์ส่งโรงพยาบาล ก็ได้ตรวจสอบบาดแผลและรักษาอาการ พบว่ามีบาดแผลที่ศีรษะด้านซ้าย 2 แห่ง แผลฉีกขาดยาว 3 ซม. และ 6 ซม. หลังใบหูซ้าย มีแผลฉีกขาดยาว 6 ซม. ต้องเย็บถึง 20 เข็ม กระดูกฝ่าเท้าซ้ายแตก ขณะนี้ใส่เหล็กดามไว้แล้ว คาดว่าต้องใช้ระยะเวลาในการรักษาประมาณ 1 เดือน อาการโดยรวมปลอดภัย ส่วนสมองจากการเอกซเรย์พบว่าปกติ ไม่มีเลือดออกในสมอง คนไข้ไม่มีโรคประจำตัว


"จากการสอบถามคนไข้ระบุว่า ขณะรอรถไฟฟ้าอยู่นั้น รู้สึกหน้ามืดจึงตกลงไปยังบริเวณรางรถไฟ ทำให้ศีรษะกระแทกกับพื้นอย่างรุนแรง ส่วนบาดแผลที่หูลักษณะคล้ายถูกของมีคมบาด หลังจากนั้นคนไข้ก็สลบไปพักหนึ่ง จนกระทั่งรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อมีคนมาช่วยเหลือ แต่ยังคงต้องให้คนไข้นอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลอีกประมาณ 4-5 วัน ถึงจะอนุญาตให้กลับบ้านได้" นพ.นราธิประบุ


จากการสอบถามคนไข้เบื้องต้นทราบว่าขณะที่กำลังยืนรอรถไฟฟ้าได้ชะโงกหน้าไปดูรถแล้วพลัดตกลงไป  หลังจากนี้ต้องนอนดูอาการอีกประมาณ 3-4 วัน จึงจะอนุญาตให้กลับไปพักผ่อนที่บ้านได้


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์