ยะหาใต้เงาแนวร่วมฯ จุดไฟสู่สงครามกลางเมือง

เป็นอีกครั้งหนึ่งในรอบ 3 ปีเศษ


ที่กลุ่มก่อความไม่สงบก่อเหตุ "ช็อค" ความรู้สึกของคนไทยทั้งประเทศ และทำให้จังหวัดชายแดนภาคใต้กลายเป็นดินแดนมิคสัญญีอย่างแท้จริง

เหตุการณ์ยิงถล่มรถตู้โดยสารสายเบตง-หาดใหญ่


บนถนนสายบันนังสตา-ปะแต ท้องที่หมู่ 4 บ้านอุเบง ตำบลปะแต อำเภอยะหา จังหวัดยะลา เมื่อช่วงเช้าวานนี้ จนมีผู้เสียชีวิตถึง 8 ศพ บาดเจ็บสาหัส 1 และบาดเจ็บเล็กน้อยอีก 1 รายนั้น ถือเป็นปฏิบัติการที่โหดเหี้ยมเกินกว่าจะยอมรับได้ ทั้งยังสื่อให้เห็นถึงสัญญาณอันตรายจากศักยภาพของกลุ่มผู้ก่อการในแบบที่เหนือการควบคุม...


ประการแรก


เหยื่อซึ่งเป็นผู้โดยสารทั้งหมด 9 ชีวิตบนรถตู้ ล้วนเป็นชาวไทยพุทธ มีทั้งทหาร ครู เด็กนักเรียน และประชาชนทั่วไป แสดงให้เห็นถึงการข่าวที่แม่นยำของกลุ่มคนร้าย ขณะที่การบุกโจมตีก็ดำเนินไปอย่างมียุทธวิธี มีการโค่นต้นไม้ขวางถนน และกรูเข้าล้อมรถ ก่อนจะจ่อยิงที่ศีรษะรายตัว กระทั่งเสียชีวิตทั้งสิ้น 8 ศพ อีกรายบาดเจ็บสาหัส ส่วนคนที่บาดเจ็บเล็กน้อยเป็นโชเฟอร์ชาวมุสลิม ซึ่งร้องขอชีวิตเป็นภาษาถิ่น

ประการที่สอง


การเลือกเป้าหมายเป็นรถตู้โดยสารสาธารณะนั้น ถือเป็นครั้งแรกๆ ของการก่อความไม่สงบในพื้นที่ จึงเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของฝ่ายความมั่นคง กระทั่งไม่สามารถป้องกันได้ ทั้งๆ ที่เป็นการก่อเหตุในช่วง "สัปดาห์อันตราย" เพราะใกล้เคียงกับวันที่ 13 มีนาคม อันเป็นวันคล้ายวันสถาปนากลุ่มบีอาร์เอ็น ซึ่งมีการแจ้งเตือนให้ระมัดระวังเหตุร้ายอย่างเข้มข้นอยู่แล้ว


ภาพจากเหตุการณ์ผู้ก่อความไม่สงบในภาคใต้



ประการที่สาม


การมุ่งโจมตีรถตู้โดยสาร ย่อมกระทบต่อธุรกิจขนส่งของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะพื้นที่แห่งนี้ไม่มีรถโดยสารของ บขส.ให้บริการเหมือนพื้นที่อื่นๆ ระบบขนส่งสาธารณะนอกจากรถไฟที่ถูกก่อวินาศกรรมบ่อยครั้งแล้ว ก็มีเพียงรถตู้โดยสารเท่านั้นที่เป็นเสมือนที่พึ่งเดียวของคน 3 จังหวัด และเหตุการณ์ครั้งนี้ยังกระทบต่อภาพลักษณ์ของอำเภอเบตง จังหวัดยะลา เมืองท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดชายแดนภาคใต้อีกด้วย

ประการที่สี่


ยุทธศาสตร์ของกลุ่มผู้ไม่หวังดียังยึดมั่นอยู่ในแนวเดิมไม่เปลี่ยนแปลง คือสร้างอาณาจักรความหวาดกลัวเพื่อกดดันชาวไทยพุทธให้อพยพออกจากพื้นที่ โดยเป็นที่น่าสังเกตว่า เหตุการณ์ยิงถล่มรถตู้ครั้งนี้ เกิดขึ้นภายหลังเหตุการณ์กราดยิงรถปิคอัพของชาวไทยพุทธในพื้นที่บันนังสตา จังหวัดยะลา จนมีผู้เสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บ 6 รายเพียงวันเดียว อีกทั้งก่อนหน้านั้น 1 วัน ก็เพิ่งเกิดเหตุเผาโรงเรียน รวมทั้งเผารถวีลแชร์พระราชทานของเด็กชายพิการ จนเป็นที่น่าอนาถใจมาแล้ว

จากข้อมูลเชิงลึกในพื้นที่ ยืนยันว่า


อำเภอยะหา จังหวัดยะลา โดยเฉพาะในเขตตำบลปะแตนั้น กลายเป็นเขตอิทธิพลของกลุ่มก่อความไม่สงบอย่างเงียบ ๆ มาเนิ่นนาน จนเรียกได้ว่าเป็นพื้นที่ "สีแดงจัด" เนื่องจากฝ่ายผู้ก่อการประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในการสร้างฐานมวลชน


โดยแกนนำกลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่นี้


ได้ทะยอยเรียกชาวบ้านเข้าไปพูดคุยเป็นรายตัว เพื่อให้เข้าใจวัตถุประสงค์และเป้าหมายของกลุ่ม พร้อมยื่นเงื่อนไขว่าหากไม่สนับสนุนในฐานะเป็นแนวร่วม ก็อย่าขวางทาง ส่วนผู้ที่ขัดขืนก็จะถูกกดดันเป็นขั้นๆ ไป ตั้งแต่แขวนมีดพร้าและข้าวสารไว้หน้าบ้าน , ตัดฟันต้นยางพารา และประทุษร้ายต่อชีวิต


นอกจากนี้


กลุ่มผู้ก่อการในยะหายังมีแนวร่วมที่เป็นผู้หญิงออกเดินสายเกลี้ยกล่อมชาวบ้านให้เข้าร่วมขบวนการอีกแรงหนึ่งด้วย โดยแต่ละทีมจะมีการแบ่งซอยพื้นที่และหมู่บ้านรับผิดชอบกันอย่างชัดเจน

ทั้งหมดนี้จึงไม่น่าแปลกใจที่ในเขตอำเภอยะหา จะเกิดความรุนแรงในลักษณะไฟสุมขอนอย่างต่อเนื่อง และนับวันจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยมุ่งตอกลิ่มความแตกแยกไปที่ไทยพุทธกับไทยมุสลิม!

ดร.ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี


รองคณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี (ม.อ.ปัตตานี) วิเคราะห์ว่า การก่อเหตุถล่มรถตู้สายเบตง-หาดใหญ่ ถือเป็นเจตนาที่ชัดเจนของคนร้ายที่ต้องการเล่นงานคนไทยพุทธ เพราะรู้อยู่ว่าเส้นทางสายนี้มีคนไทยพุทธใช้บริการเป็นหลัก

นักวิชาการจาก ม.อ.ปัตตานี กล่าว


จุดประสงค์สำคัญของคนร้ายคือสร้างความรู้สึกโกรธแค้นระหว่างชุมชนพุทธกับมุสลิม ถือเป็นเป้าใหญ่ของพวกเขา ปฏิบัติการลักษณะนี้จะเป็นตัวเร่งให้ชุมชน 2 ศาสนาแตกแยกกันมากขึ้นและเร็วขึ้น ซึ่งอันตรายอย่างยิ่ง"

ขณะที่ นายนิพนธ์ บุญญภัทโร


อดีตผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ผอ.ศอ.บต.) มองว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนว่า กองกำลังของฝ่ายรัฐยังไม่สามารถคุมพื้นที่ได้ ทั้งยังลังเล ไม่กล้าทำอะไรให้เด็ดขาด ซึ่งสาเหตุสำคัญน่าจะมาจากนโยบายของรัฐบาลและคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ที่ค่อนข้างประนีประนอมกับกลุ่มผู้ไม่หวังดีมากเกินไป จนทำให้ฝ่ายโน้นทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจ

อดีต ผอ.ศอ.บต.ระบุ


เป้าหมายเขาคือสร้างความขัดแย้งระหว่างไทยพุทธกับมุสลิม การเลือกยิงรถตู้ครั้งนี้ก็ชัดเจน เมื่อวันก่อนผมเห็นม็อบสตรีมุสลิมกับไทยพุทธปะทะกันแล้วรู้สึกไม่ดีเลย มันเหมือนเป็นลางบอกเหตุว่าความขัดแย้งระหว่างคนสองศาสนาในพื้นที่กำลังใกล้ถึงจุดเดือด ถ้าต่อไปผู้ชายกับผู้ชายเอาปืนออกมาซัดกันจะทำอย่างไร และนั่นจะนำไปสู่สงครามกลางเมือง ซึ่งคงไม่มีใครอยากให้เกิด"

นับเป็นคำเตือนที่น่ากลัว และอนาคตของจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ดูจะมืดมนเหลือเกิน...

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์