สิ้นเสียงระเบิด...สิ้นอนาคตบัณทิตวิศวะ

หลังสิ้นเสียงระเบิดเมื่อวันส่งท้ายปี 2549


ชะตาชีวิตของว่าที่บัณฑิตสาววิศวะ ของ "อาจารี มีธนทรัพย์" แทบมืดสนิท ทุกวันนี้เธอยังนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล นับวันรอกลับไปเป็นวิศวกรตามความฝันของเธอ

แม้ตำรวจจะสามารถออกหมายจับมือบึ้ม กทม.และปริมณฑล


ในช่วงส่งท้ายปี 2549 ได้แล้วบางส่วน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีได้ หรือแม้กระทั่งจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีได้จริง แต่ความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของผู้ประสบเหตุ คงไม่สามารถเรียกคืนมาได้

อย่างกรณีของ


น.ส.อาจารี มีธนทรัพย์ หรือที่เพื่อนๆ นักศึกษาวิชาเอกไฟฟ้ากำลัง ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ชั้นปีที่ 4 เรียกว่า "ย้งยี้" เหยื่อระเบิดป่วนเมือง

หากวันนั้น ย้งยี้ ไม่ไปรอเพื่อนที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ


ว่าที่บัณฑิตสาววิศวกรรรมศาสตร์ไฟฟ้า วัย 22 ปี คงไม่ต้องไปนอนให้แพทย์รักษาตัวอยู่ในหอผู้ป่วยออร์โธปิดิกส์ โรงพยาบาลรามาธิบดีอย่างเช่นทุกวันนี้

หากไม่เกิดเหตุการณ์ร้ายในวันส่งท้ายปี 2549

อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า "ย้งยี้" จะกลายเป็นบุคลากรด้านวิศวกรรมศาสตร์รุ่นเอี่ยมอ่องที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงาน ซึ่งไม่ใช่เฉพาะตัวเธอเท่านั้นที่นับวันรอ พ่อแม่และพี่อีก 2 คน ของเธอก็รอคอยวันนั้นเช่นกัน

ย้งยี้ คือความหวังของครอบครัว มีธนทรัพย์


ที่จะเป็นเสาหลักของครัวครัวต่อจากผู้เป็นพ่อ ที่เข้าสู่วัยชรา และทำงานหนักมาทั้งชีวิตเพื่อเลี้ยงดูคนในครอบครัว ความหวังของเด็กสาวเกือบสลายทันทีที่สิ้นเสียงระเบิด และอนาคตในตอนนี้ยังไม่สามารถคาดหวังอะไรได้มากนัก เด็กสาวหวังไว้เพียงอย่างเดียวว่า อีกไม่นานจะได้กลับไปใช้ชีวิตเช่นที่เคยเป็นอยู่ในอดีต และอยากกลับไปเดินได้อย่างคนปกติ

เพราะทุกวันนี้ เธอทำได้แค่เพียงนอนอยู่บนเตียงคนไข้


ขาข้างขวามีเหล็กร้อยติดแขวนอยู่กับขาตั้ง ส่วนขาซ้ายเป็นแผลเหวอะหวะ อยู่ระหว่างรอแพทย์ผ่าตัดหนังศีรษะมาแปะ ดวงตาด้านขวายังพร่ามัวเพราะกระจกตาฉีกรอยแผลที่หมอเย็บให้ยังไม่หายสนิท ปอดก็ยังบอบช้ำ เนื่องจากสะเก็ดระเบิดเฉี่ยวจนเป็นรู แม้แพทย์จะผ่าตัดรักษาอาการแล้วแต่ก็ยังต้องใช้เวลาเยียวยาอีกนานหลายเดือนจึงจะหายเป็นปกติ


วันนั้นไปรอเพื่อน ไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะเกิดเหตุร้ายที่สุดในชีวิต


"ขณะนั้นรู้สึกหูอื้อและรู้สึกชาไปทั้งตัว หลังจากนั้นก็มีคนนำส่งโรงพยาบาล ขณะนั้นได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าคงเจ็บไม่มาก เพราะไม่อยากนอนโรงพยาบาลนาน หนูใกล้จบแล้ว เหลือเวลาอีกไม่ถึงเดือนก็จะเป็นบัณฑิตวิศวกรรมศาสตร์ไฟฟ้ากำลัง ก่อนหน้านี้มีบริษัทหลายแห่งเข้าไปรับสมัครงานที่มหาวิทยาลัย กำลังลุ้นอยู่ว่าจะมีบริษัทไหนเรียกตัวไปทำงานหรือเปล่า" ย้งยี้ กล่าวกับทีมข่าว "คม ชัด ลึก" ขณะนอนอยู่บนเตียงคนไข้โรงพยาบาลรามาธิบดี

สีหน้าที่อ่อนระโหยโรยแรงซีดเผือด


บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่า สาวน้อยผู้นี้ทุกข์ทรมานแสนสาหัสเพราะพิษบาดแผลที่เธอได้รับจากแรงระเบิด

ย้งยี้ บอกว่า

เธอรู้สึกเบื่อที่ต้องมานอนซมอยู่บนเตียง ไม่สามารถไปไหนมาไหนได้อย่างคนปกติ และอยากกลับไปสะสางงาน รวมถึงอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบปลายภาคเรียนสุดท้ายในชีวิตของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ซึ่งเพื่อนๆ กำลังคร่ำเคร่งกับมันอยู่ เธอไม่อยากสูญเสียชีวิตวัยเรียนช่วงนี้ไป เพราะมันเป็นโค้งสุดท้ายที่จะได้มีโอกาสใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย

ความต้องการของหญิงสาวผู้นี้คงเป็นได้แค่ฝัน


เพราะสภาพร่างกายของเธอนั้น ได้รับการยืนยันจากแพทย์ผู้รักษาว่าอย่างน้อยต้องใช้เวลาอีก 1-2 เดือน จึงจะสามารถออกจากโรงพยาบาลได้ ซึ่งหมายความว่าเมื่อเธอออกจากโรงพยาบาล เพื่อนๆ ก็จบการศึกษาไปหมดแล้ว

โชคยังดีที่ ย้งยี้ เป็นนักศึกษาที่เรียนดี


มีเกรดเฉลี่ยสะสมอยู่ที่ 2.96 ประกอบกับที่ผ่านมาเธอเป็นนักศึกษาที่ตั้งใจเรียน เป็นที่รักของอาจารย์และเพื่อนร่วมรุ่น จึงทำให้เธอได้รับความเมตตาจากมหาวิทยาลัย อาจารย์ผู้สอนในภาควิชาวิศวกรรมศาสตร์ตกลงกันว่าจะยังไม่ตัดเกรดของนักศึกษาผู้นี้ โดยจะรอให้เธอหายดีแล้วจึงจะให้ไปสอบปลายภาค โดยอาจารย์ทุกคนเชื่อมั่นว่า น.ส.อาจารี จะสามารถสำเร็จการศึกษาและเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรได้พร้อมกับเพื่อนร่วมรุ่นของเธอ

เหยื่อระเบิด กล่าวด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย


สิ่งที่กังวลมากที่สุดขณะนี้ไม่ใช่เรื่องการเรียน เพราะมั่นใจว่าสามารถสอบผ่านแน่ แต่กลัวในการสมัครงานเพราะร่างกายเราไม่เหมือนเดิม ในระยะแรกคงเดินไม่ถนัด คงทำงานได้ไม่เต็มร้อย เกรงว่าจะไม่มีใครจ้างทำงาน ล่าสุดเพิ่งมีบริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งหนูสมัครงานไว้โทรศัพท์มานัดสัมภาษณ์ หนูน้ำตาแทบไหล เสียดายมาก เพราะไม่สามารถไปได้ ต้องปฏิเสธเขาไปเพราะยังนอนรักษาตัวอยู่"

ย้งยี้ กล่าวด้วยว่า หาก


ไม่โดนระเบิดไม่แน่ว่าเธออาจจะได้งานทำหลังจากเรียนจบทันที แต่ในสภาพร่างกายของตัวเองขณะนี้ได้แต่ทำใจ ซึ่งหากเป็นไปได้อยากขอร้องให้บริษัทที่ตนจะไปสมัครเข้าทำงานในอนาคตเห็นใจ อย่าเอาเรื่องร่างกายของตนไปเป็นอุปสรรคในการรับเข้าทำงาน เพราะมั่นใจว่ามีความสามารถเพียงพอที่จะทำงานให้มีประสิทธิภาพได้ แม้ว่าร่างกายจะไม่หายสนิทก็ตาม

ขณะที่นางอัมพร มีธนทรัพย์ อายุ 59 ปี มารดาของ ย้งยี้


ซึ่งคอยดูแลอาการบุตรสาวอย่างใกล้ชิดระหว่างที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล กล่าวกับทีมข่าว "คม ชัด ลึก" ด้วยแววตาที่ปวดร้าวว่า ไม่เคยคิดมาก่อนว่าลูกสาวจะโชคร้ายขนาดนี้ เหตุการณ์อย่างนี้เกิดกับใครก็มีแต่ช้ำ "ย้งยี้" เป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัว เป็นเด็กที่เรียนเก่ง ซึ่งทุกคนคาดหวังว่าอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าลูกสาวคนนี้จะเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการหาเลี้ยงครอบครัว

นางอัมพร กล่าว


ทันทีเห็นภาพลูกสาวถูกเข็นออกจากห้องผ่าตัด มันหมดเรี่ยวแรงอย่างบอกไม่ถูก เขาเป็นลูกสาวคนเดียว หากเขาเป็นอะไรไปคิดเอาเองเถอะว่าหัวอกผู้เป็นแม่จะเป็นอย่างไร อยากฝากไปยังผู้ร้ายที่ลอบวางระเบิดอยากให้ย้งยี้เป็นเหยื่อรายสุดท้าย เพราะไม่อยากให้ใครต้องเผชิญชะตาชีวิตอย่างครอบครัวฉันอีก"

ด้าน ผศ.วัชรชัย วิริยะสุทธิวงศ์


อาจารย์ที่ปรึกษานักศึกษาชั้นปีที่ 4 ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า สาขาไฟฟ้ากำลัง คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กล่าวว่า ย้งยี้ เป็นเด็กที่มีผลการเรียนดี มั่นใจว่าทันทีที่ออกจากโรงพยาบาล ย้งยี้จะสามารถสอบผ่านทุกวิชา และจะสามารถเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรได้พร้อมเพื่อนๆ อย่างแน่นอน ทั้งนี้รู้สึกเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งทั้งอาจารย์และเพื่อนๆ ทุกคน ต่างอยากให้ย้งยี้หายจากอาการบาดเจ็บเร็วๆ ซึ่งทุกคนรอการกลับมาของเธอ

ย้งยี้ เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ


จากเหตุการณ์ คนร้ายลอบวางระเบิด กทม.และปริมณฑลรวม 9 จุด ซึ่งจนถึงขณะนี้ผู้บาดเจ็บรายอื่นสามารถออกจากโรงพยาบาลไปหมดแล้ว เหลือแต่เธอที่ยังต้องนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ซึ่งแพทย์ระบุว่าอย่างน้อยอีก 1-2 เดือน เธอจึงสามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้ ทุกวันนี้เธอยังรอความหวังให้ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจับกุมคนร้ายที่ลอบวางระเบิดเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2549 ให้ได้ เพราะเธอต้องการถามคนร้ายเหล่านั้นว่า "ลอบวางระเบิดทำไม"


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์