แจงเงินฝากไม่หายรวมกับบัญชีพี่สาวเผยคู่กรณีขอค่าเสียหาย1ล้าน

"กสิกรแจง ไม่หาย ไปรวมกับบัญชีพี่สาว"


แบงก์กสิกรไทย ยันเงินฝาก 22 ปี พร้อมดอกเบี้ยอยู่ครบ แต่โอนบัญชีรวมกับพี่สาว แจงเอกสารมีลายเซ็นมอบอำนาจครบ เผยคู่กรณีขอ 1 ล้าน

นักธุรกิจหนุ่มยื้อขอดูลายเซ็นฉบับจริง แต่ยอมรับขอเงิน 1 ล้านจริง เป็นค่าเสียหายทั้งดอกเบี้ยและเงินต้น

ความคืบหน้านักธุรกิจหนุ่มใหญ่ที่ร้องเรียนสื่อมวลชนที่หน้ารัฐสภาว่า เงินฝากประจำ 22 ปี ของธนาคารกสิกรไทย หายไปกว่า 4 แสนบาทนั้น ล่าสุดผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย นำหลักฐานมายืนยันกับ "คม ชัด ลึก" ว่าเงินไม่ได้หาย แต่มีการขอโอนไปรวมกับบัญชีของพี่สาว

เมื่อเวลา 15.30 น.วันที่ 21 ธันวาคม นายอุดมสิน ยาจารย์ ผู้จัดการสาขาสำนักพหลโยธิน ธนาคารกสิกรไทย นางมยุรี พัธโนทัย ผู้จัดการเขตการบริการและการขาย 1 นายรังษี บูรณประภาพงศ์ ฝ่ายสื่อสารและส่งเสริมงานบริหารองค์การ นำหลักฐานเอกสารเข้าชี้แจงต่อผู้สื่อข่าว "คม ชัด ลึก" กรณีนายเกริกไกร เดชธีรานุกูล ร้องเรียนต่อสื่อมวลชนประจำรัฐสภาว่า เงินฝากประจำ 22 ปี เพื่อค้ำประกันบริษัทวัฒนเดชเตียคุนเฮง หายไป 424,445 บาท

"มีลายเซ็นต์ให้โอนย้ายบัญชีถูกต้อง"


นายอุดมสิน ชี้แจงว่า เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2524 นายเกริกไกรนำเงินมาเปิดบัญชีฝากประจำ 2 แสนบาท เพื่อค้ำประกันบริษัทข้างต้น โดยมีนาง ก.และ นาง ข.ซึ่งเป็นพี่สาวของนายเกริกไกร นำเงินมาเปิดบัญชีฝากประจำคนละ 1 แสนบาทเช่นกัน จากนั้นวันที่ 8 พฤศจิกายน 2537 มีหนังสือจากบริษัท ลงลายมือชื่อกรรมการบริษัททั้งสามคน คือ นายเกริกไกร นาง ก. และ นาง ข. เพื่อขอให้รวมบัญชีเงินฝากประจำของทั้งสามคนเป็นบัญชีเดียว จำนวน 4 แสนบาท และให้ชื่อบัญชีเป็นของนาง ก. ธนาคารกสิกรไทยได้ดำเนินการตามที่ขอในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2537 ปัจจุบันบัญชีเงินดังกล่าวก็ยังไม่มีการเบิกถอนไปแต่อย่างใด หากรวมเงินต้น 4 แสนแล้ว จะมีดอกเบี้ยเพิ่มอีกประมาณ 2 แสนบาท รวมเป็น 6 แสนกว่าบาท

นายอุดมสิน ยืนยันว่า เงินในบัญชีของนายเกริกไกรไม่ได้หายไปไหน แต่เป็นการโอนเงินไปรวมบัญชีกับพี่สาวอีก 2 คน หากนายเกริกไกรยืนยันว่า ไม่ได้ลงลายมือชื่อในจดหมายอนุญาตให้โอนเงินในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2537 จริง ก็ต้องมีการดำเนินตามขั้นตอนของกฎหมาย เพื่อพิสูจน์ว่ามีการปลอมแปลงลายเซ็นของนายเกริกไกรหรือไม่ และธนาคารกสิกรไทยก็ยินดีจะทำตามคำสั่งศาลทุกประการ

"รับเคยขอเงินค่าเสียหาย 1 ล้านจริง"


"ธนาคารกสิกรไทยพยายามเชิญนายเกริกไกรมาชี้แจงข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ได้รับการติดต่อ เพราะถ้าไม่ใช่ลายเซ็นของนายเกริกไกรจริง นายเกริกไกรก็ควรไปดำเนินเรื่องตามขั้นตอนของกฎหมาย เพื่อพิสูจน์ลายเซ็นในจดหมายที่ขอให้รวมบัญชี ขอย้ำว่าเงินไม่ได้หายไปไหน แต่มีการโอนเปลี่ยนบัญชีตามที่ลูกค้าต้องการ นายเกริกไกรเคยมีจดหมายเรียกร้องเงินจากธนาคารเป็นค่าเสียหาย 1 ล้านบาท ซึ่งธนาคารชี้แจงแล้วว่าไม่สามารถให้ได้ เพราะไม่ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย" นายอุดมสิน กล่าว

ด้าน นางมยุรี กล่าวว่า เนื่องจากบัญชีดังกล่าวถูกสั่งปิดไปเมื่อ 12 ปีที่แล้ว ทำให้การสืบหาหลักฐานทำลำบาก เจ้าหน้าที่ธนาคารที่เกี่ยวข้องเกษียณหรือไม่ก็ลาออกไปแล้ว แต่ธนาคารก็ไม่นิ่งนอนใจ พยายามสืบหาหลักฐานเท่าที่หาได้ และในที่สุดก็พบหลักฐานว่าเงินไม่ได้หายไปไหนเลย จึงอยากเตือนให้ผู้ใช้บริการธนาคารทุกท่าน หมั่นนำสมุดบัญชีตรวจสอบยอดเงินล่าสุด

ขณะที่ นายเกริกไกร ให้สัมภาษณ์ว่า เคยเห็นแต่สำเนาจดหมายของบริษัทที่ขอให้รวมบัญชีเงินฝากของสามคนพี่น้อง แต่ไม่เคยเห็นจดหมายตัวจริง ที่ผ่านมาพยายามขอดูจดหมายตัวจริงจากธนาคารแล้ว แต่ไม่ได้รับความร่วมมือ จึงยังไม่ขอตอบว่า เป็นลายมือชื่อของตนจริงหรือไม่ ส่วนเรื่องการเรียกร้องเงิน 1 ล้านบาทนั้น ยอมรับว่าได้ทำจดหมายขอเงิน 1 ล้านบาทจริง โดยคำนวณจากเงินต้นและดอกเบี้ยกว่า 20 ปี ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่ตนสมควรได้รับ

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์