เตรียมชง”มาร์ค”ลดราคาน้ำตาลทราย

พาณิชย์ ชง”มาร์ค”ลดราคาน้ำตาลทราย กก.ละ 2-5 บาท  ด้านผู้ประกอบการเรือ ตื้อขอขึ้นค่าโดยสาร


เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 21 มี.ค. กระทรวงพาณิชย์ นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ในวันที่ 22 มี.ค.54 เตรียมเข้าหารือกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รมว.อุตสาหกรรม เพื่อหาแนวทางปรับลดราคาขายปลีกน้ำตาลทรายลงทั่วประเทศ โดยกระทรวงพาณิชย์จะเสนอให้เลือก 2 แนวทาง คือ เสนอให้เลื่อนการจ่ายเงินชดเชยน้ำตาลทรายเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายปี 54 กก.ละ 5 บาท ออกไปจ่ายปี 55 แทน หรือแนวทางสองให้แบ่งจ่ายชดเชย 2 งวด งวดแรกปี 54 จ่าย กก.ละ 2 บาท และปี 55 จ่ายส่วนที่เหลืออีก กก.ละ 3 บาท 


ทั้งนี้ราคาขายปลีกน้ำตาลทรายทั่วประเทศเฉลี่ย กก.ละ 23.50-27.50 บาท

โดยราคานี้ได้รวมการจ่ายชดเชยเงินเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายแล้ว ดังนั้นหากมีการปรับสัดส่วนเงินชดเชยกองทุนใหม่ น่าจะทำให้ราคาน้ำตาลทรายขายปลีกลดลงได้ และช่วยบรรเทาความเดือดร้อนปัญหาค่าครองชีพแก่ประชาชน เพราะน้ำตาลทรายถือเป็นต้นทุนสำคัญของการผลิตสินค้าอื่นอีกหลายชนิด และช่วยลดลดแรงกดดันจากต้นทุนสินค้าในปีนี้ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง


“กระทรวงพาณิชย์มีความตั้งใจลดราคาขายปลีกน้ำตาลทราย เพื่อลดค่าครองชีพประชาชน แต่กระทรวงมีหน้าที่ดูแลราคาปลายทางจะทำคนเดียวไม่ได้ เพราะน้ำตาลถูกเหลือแพง ต้องขึ้นอยู่กับต้นทาง คือ กระทรวงอุตสาหกรรม และโรงงานผลิตในการกำหนดราคาหน้าโรงงานมา และจากนั้นกระทรวงพาณิชย์จึงพิจารณาราคาขายปลีกให้เหมาะสม ตามระยะทางขนส่ง หากจังหวัดไกลเสียค่าขนส่งมากราคาจะสูงขึ้น เช่น นราธิวาส เชียงราย ตกกก.ละ 27.50 บาท ขณะที่กรุงเทพและปริมณฑล กก.ละ 23.50 บาท ราคาที่ต่างกันไม่ใช่เกิดจากการเรียกเก็บใต้โต๊ะเหมือนที่กล่าวหากัน”นางพรทิวา กล่าว


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภาระการจ่ายเงินชดเชยเงินเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายจะหมดลงในเดือน ธ.ค.54

แต่หากมีการปรับลดสัดส่วนการจ่ายชดเชย หรือขยายเวลาการชดเชยออกไปตามแผนที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ จะทำให้ต้นทุนน้ำตาลลด และราคาขายปลีกปรับลดตาม กก.ละ 2-5 บาท แต่ทั้งหมดขึ้นกับกับ นายกรัฐมนตรี และรมว.กระทรวงอุตสาหกรรมว่าจะเห็นด้วยหรือไม่


นางพรทิวากล่าวว่า กรณีนายกรัฐมนตรี กำชับให้ดูแลสินค้าที่ขอปรับราคาเพิ่มขึ้น 4 รายการ คือ ปุ๋ย น้ำมันถั่วเหลือ นม และเหล็ก นั้น
 
หากเป็นสินค้าที่ความจำเป็นต้องปรับราคาเพิ่มขึ้น ก็จะพิจารณาตามต้นทุนที่แท้จริง เพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ตาม ได้มอบหมายให้กรมการค้าภายใน ติดตามสินค้าทั้ง 4 รายการอย่างใกล้ชิด ซึ่งขณะนี้คณะอนุกรรมการแต่ละชุด อยู่ระหว่างพิจารณาต้นทุนรายการที่แท้จริง และมีแนวโน้มจะปรับราคาสินค้าทั้ง 4 รายการเพิ่มขึ้น โดยต้องพิจารณาให้เหมาะสม หลังมาตรการขอความร่วมมือในการตรึงราคาสินค้า จะสิ้นสุดในสิ้นเดือนมี.ค.นี้

“สินค้าทั้ง 4 รายการที่ขอปรับขึ้นราคาถือว่ามีต้นทุนเพิ่มขึ้นจริง  ซึ่งกระทรวงฯ จะให้ขึ้นตามต้นทุนที่แท้จริงเท่านั้น และการอนุมัติให้ขึ้นราคาจะไม่ให้กระทบกับประชาชน โดยการดูแลราคาสินค้านั้น ให้กระทรวงฯ เพียงหน่วยงานเดียวคงดูแลได้ไม่ทั่วถึง เพราะเป็นเรื่องต้องบูรณาการร่วมกันระหว่างหลายหน่วยงาน ทั้งกระทรวงการคลัง พลังงาน อุตสาหกรรม และกรวงเกษตร ซึ่งต้องร่วมมือกันดูแลต้นทุนที่แท้จริงของราคาสินค้าให้ครบวงจร  ส่วนราคาน้ำมันปาล์ม คาดจะเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุมภายในสัปดาห์นี้ เพื่อติดตามปริมาณผลผลิตและดูว่าจะปรับลดราคาได้หรือไม่”


ด้านนายถวัลย์รัฐ อ่อนศิระ อธิบดีกรมเจ้าท่า เปิดเผยว่า ผู้ประกอบการเรือโดยสารเข้าพบ เพื่อขอให้กรมฯ พิจารณาปรับขึ้นค่าเรือโดยสาร

เนื่องจากราคาน้ำมัน ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยทางผู้ประกอบการได้ขอปรับขึ้นที่อัตรา 0.50 – 2 บาทตามระยะทางของเรือแต่ละประเภท ขณะนี้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างการพิจารณาและติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันอย่างใกล้ชิด และคาดว่าในสัปดาห์หน้าจะได้ข้อสรุปว่าจะมีการปรับขึ้นราคาค่าโดยสารเรือประจำทางหรือไม่


น.ท.ปริญญา รักวาทิน อุปนายกสมาคมเรือไทยและกรรมการผู้จัดการ บริษัทเรือด่วนเจ้าพระยา กล่าวว่า

สมาคมได้ทำหนังสือไปยังกรมเจ้าท่าเพื่อขอปรับขึ้นราคาค่าโดยสารอีกครั้ง โดยจะขอปรับขึ้นค่าโดยสารในส่วนของเรือด่วนเจ้าพระยาและเรือคลองแสนแสบอีกระยะละ 1 บาท หากราคาน้ำมันหน้าสถานีบริการอยู่ระหว่าง 28-31 บาทต่อลิตร แต่หากน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นหรือรัฐบาลยกเลิกการอุดหนุนผู้ประกอบการก็ต้องขอปรับขึ้นค่าโดยสารเรือประเภทดังกล่าวเป็นระยะละ 2 บาท ส่วนเรือข้ามฟากขอที่อัตรา 0.50 บาท- 1 บาท ต่อเที่ยว

นายฉัตรชัย ชัยวิเศษ นายกสมาคมพัฒนารถร่วมเอกชน กล่าวว่า จากการหารือร่วมกับสมาชิกสมาคมพบว่า
 
ขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็นต้องขอปรับขึ้นอัตราค่าโดยสารแต่อย่างใด เพราะเห็นว่าราคาน้ำมันอาจลดลงอีกหากสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในประเทศลิเบียไม่ยืดยื้อ และยุติลงได้ใน2สัปดาห์ข้างหน้านี้ เพราะมาตรการกดดันจากนานาชาตินอกจากนี้ปัจจัยหลักที่ สมาคมฯ เห็นว่ายังไม่สมควรขอปรับขึ้นราคาค่าโดยสารก็คือเห็นว่าประชาชนได้รับผลกระทบจากปัญหาข้าวยากหมากแพงอยู่แล้ว จึงไม่ต้องการซ้ำเติมประชาชนและขณะนี้ราคาน้ำมันดีเซลก็ยังอยู่ที่ระดับที่ผู้ประกอบการรับได้ จึงไม่มีความจำเป็นต้องขอปรับขึ้นราคาค่าโดยสารอีก



เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์