กินแกงส้มบอนเจอโหรา-ส่งรพ.นับสิบ

พนง.แบงก์เมืองคอนหมอเตือนพิษรุนแรง


หามหนุ่มสาวแบงก์นครศรีธรรมราชส่งร.พ. หลังกินแกงส้มบอนหวานปลากะพงอาหารปิ่นโต ปรากฏว่าไม่ใช่บอนหวาน กลายเป็น "โหรา" พืชมีพิษที่มีลักษณะคล้ายกัน มีอาการกันถ้วนหน้า บางคนน้ำลายฟูมปาก บางคนช็อกหมดสติ เจ้าของร้านอาหารปิ่นโตอ้างซื้อแบบหั่นสำเร็จรูป ไม่รู้ว่ามีโหราปนอยู่ แพทย์เผยทั้งสองอยู่เป็นพืชตระกูลเดียวกัน ลักษณะคล้ายกัน หากจะกินต้องระวังถ้าเป็นโหราจะทำให้เกิดระคายเคืองในลำคอ ปาก ลิ้นแข็ง พูดไม่ได้ หรือหากน้ำยางกระเด็นเข้าตาอาจถึงตาบอด

เมื่อวันที่ 16 พ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ได้เกิดเหตุการณ์ชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งหนึ่งในตัวเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งรับอาหารปิ่นโตประจำจากร้านขายข้าวแกงย่านตลาดหัวอิฐ ต.โพธิ์เสด็จ อ.เมือง เมื่อรับประทานอาหารมื้อเที่ยงเข้าไปก็เกิดอาการผิดปกติ บางรายน้ำลายฟูมปาก บางรายช็อกหมดสติ ถูกนำตัวส่งร.พ.นับ 10 ราย โดยเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 12 พ.ย. ที่ผ่านมา เบื้องต้นแพทย์ไม่สามารถวินิจฉัยอาการได้ว่าเกิดจากสาเหตุใด แต่สันนิษฐานว่าอาจจะเป็นเพราะอาหารเป็นพิษ ซึ่งในมื้อเที่ยงของวันที่เกิดเหตุนั้นมีรายการอาหารรายการหนึ่งคือแกงเหลืองบอนหวานกับปลากะพง

"โหรา พืชเป็นพิษ"


ต่อมาเจ้าหน้าที่กองอนามัยสาธารณสุข สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครศรีธรรมราช และเจ้าหน้าที่สิ่งแวดล้อม เทศบาลนครนครศรีธรรมราช ไปสืบสวนถึงสาเหตุของอาการดังกล่าว ในเบื้องต้นสันนิษฐานว่าอาจจะเกิดจากสารเคมีปนเปื้อนในผักและเนื้อสัตว์ที่นำมาปรุงอาหาร สุดท้ายจึงพบว่า สาเหตุเกิดจากบริโภคพืชเป็นพิษที่เรียกว่า "โหรา" ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับบอนหวาน หรือบอนคัน ทางภาคใต้เรียกว่าอ้อดิบ ผักพื้นบ้านที่ชาวบ้านนำมาประกอบอาหารคือแกงส้ม อย่างไรก็ตามหลังเกิดเหตุไม่ได้มีการแจ้งความดำเนินคดีหรือเรียกร้องค่าเสียหายจากทางร้านแต่อย่างใด เนื่องจากร้านข้าวแกงเป็นเครือญาติกับทางเจ้าหน้าที่ธนาคาร เมื่อไปสอบถามทางผู้ปรุงก็ได้รับคำตอบว่าได้ซื้ออ้อดิบแบบหั่นสำเร็จรูปมาจากตลาด มาปรุงโดยไม่รู้ว่ามีโหราเจือปนอยู่

น.พ.นพพร ชื่นกลิ่น นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า ปกติแล้วในแต่ละภูมิภาค จะมีภูมิปัญญาท้องถิ่นในการนำพืชผักพื้นบ้านมารับประทานได้ แต่พืชบางชนิดมีลักษณะคล้ายกับพืชที่รับประทานได้ ทำให้เข้าใจผิด เช่น พืชตระกูลบอน อยู่ในวงศ์อาราเซีย เป็นพืชชนิดหนึ่งที่ประชาชนรู้จักกันโดยทั่วไป และนิยมนำมาประกอบอาหาร เช่น แกง หรือรับประทานสด พืชในตระกูลนี้ทุกส่วนมีผลึกแคลเซียมออกซาเลต เป็นผลึกรูปเข็มไม่ละลายน้ำ เป็นอันตรายหากสัมผัส ทำให้เกิดการระคายเคืองเป็นผื่นคัน ดังนั้นหากต้องสัมผัสควรใส่ถุงมือ และต้องระวังหากน้ำยางกระเด็นเข้าตา จะทำให้ตาอักเสบอาจถึงตาบอดได้

"ควรระวังในการรับประทานเพราะคล้ายกันมาก"


น.พ.นพพรกล่าวว่า พืชตระกูลนี้มีหลายชนิดทั้งรับประทานได้และรับประทานไม่ได้ ที่รับประทานได้ทางภาคใต้เรียกว่าอ้อดิบ ภาคกลางเรียกคูนหรือบอนหวาน ส่วนพืชที่เกิดปัญหาคือโหรา หากรับประทานเข้าไป จะทำให้เกิดอาการระคายเคืองในลำคอ ปาก ลิ้นแข็ง พูดจาลำบากหรือพูดไม่ได้ ควรระวังเป็นอย่างมาก เนื่องจากพืชทั้งสองชนิดนี้มักจะขึ้นปะปนกัน ข้อสังเกตคือโหรามีใบใหญ่ สีเขียวเข้ม หนากว่าใบของอ้อดิบที่เล็กและบาง สีเขียวอ่อนกว่า ก้านใบมีสีขาวนวล โหรามีก้านใบอยู่ริมขอบใบ แต่อ้อดิบมีก้านใบขยับจากขอบใบเข้าไปเล็กน้อย

"จากความคล้ายคลึงกัน ทำให้มีผู้ที่รับประทานเข้าไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เข้ามารักษาตัวในร.พ.อยู่เสมอ ผู้บริโภคควรระวังให้มาก หากรับประทานเข้าไปแล้วรู้สึกผิดปกติให้หยุดทันที รีบล้างปาก ดื่มนมเย็น หรือไอศกรีม เพื่อลดอาการระคายเคืองเฉพาะที่ แต่ห้ามทำให้อาเจียน เพราะจะทำให้สารพิษสัมผัสเยื่อบุปากและคออีกครั้ง แล้วรีบมาพบแพทย์โดยเร็ว


แหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ข่าวสด

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์