แห่ใช้บริการโรงตึ๊งต้อนรับวันเปิดเทอม

ต้อนรับเปิดเทอม เงินสะพัด 4.4 หมื่นล้าน ผู้ปกครองแห่ใช้บริการ “โรงตึ๊ง” คึกคัก หาเงินจ่ายค่าเล่าเรียน-ค่าหน่วยกิต  ค่าเสื้อผ้า อุปกรณ์การเรียน คาดยอดพุ่ง 1,060 ล้านบาท เผยค่าใช้จ่ายเรื่องเรียนปีนี้เพิ่มขึ้นกว่าปีก่อน ด้านศูนย์กสิกรชี้ “ทองคำ” ของตึ๊งยอดฮิต เพราะจำนำได้ราคาสูง

เมื่อวันที่ 13 พ.ค. นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

เปิดเผยว่า ในช่วงเปิดเทอมปีนี้ ธุรกิจโรงรับจำนำยังได้รับความนิยมจากผู้ปกครองเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา เพราะผลสำรวจการใช้จ่ายของประชาชน พบว่าผู้ปกครองส่วนใหญ่ยังนิยมนำทรัพย์สิน โดยเฉพาะสินค้าคงทน อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้า และทองคำ ไปจำนำเอาเงินมาใช้จ่ายหมุนเวียนเป็นค่าเล่าเรียน ค่าอุปกรณ์การศึกษาแก่ลูกหลาน โดยระบุสาเหตุว่าเป็นเพราะปีนี้เศรษฐกิจไม่ดี รายได้ไม่เพิ่ม แต่สินค้ากลับราคาแพงขึ้น จึงมีเงินใช้จ่ายไม่เพียงพอ
   
นางยาใจ ชูวิชา ประธานคณะจัดทำผลสำรวจความคิดเห็นประเด็นธุรกิจ มหา วิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ผลการสำรวจการใช้จ่ายผู้บริโภคช่วงเปิดเทอมจากประชาชน 1,219 ตัวอย่าง


พบว่ามีเม็ดเงินสะพัดช่วงเปิดเทอม 44,573 ล้านบาท หรือเฉลี่ยครัวเรือนละ 6,116.89 บาท โดยเป็นค่าเล่าเรียนและค่าหน่วยกิตมากที่สุด รองลงมาเป็นค่าบำรุงโรงเรียน (ตามปกติ), ค่าบำรุงโรงเรียน (กรณีเปลี่ยนโรงเรียนใหม่และค่าแป๊ะเจี๊ยะ), ค่าหนังสือ, ค่าอุปกรณ์การเรียน, ค่าเสื้อผ้า รองเท้า และค่าบริหารจัดการพิเศษ เช่น ค่าประกันชีวิต ทั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบการใช้จ่ายในช่วงเปิดเทอมปี 2553 กับช่วงเปิดเทอมปี 2552 พบว่าค่าใช้จ่ายดังกล่าวข้างต้น ส่วนใหญ่จะเพิ่มขึ้น
   
อย่างไรก็ดี ผู้ตอบแบบสอบถาม 74.1% ระบุมีเงินเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่าย ต่าง ๆ ส่วนอีก 25.9% ระบุว่าไม่เพียงพอ

และหาทางออกด้วยการนำทรัพย์สินไปจำนำมากที่สุด รองลงมาคือ ยืมญาติพี่น้อง เงินออม เงินเดือน เบิกเงินสดจากบัตรเครดิต กู้เงินนอกระบบ โบนัส/รายได้พิเศษ กู้เงินในระบบ และเสี่ยงโชค ส่วนเมื่อถามถึงสถาน การณ์การเมืองมีผลต่อการใช้จ่ายในช่วงเปิดเทอมหรือไม่นั้น 83.6% ตอบว่ามีผลกระทบ เพราะเศรษฐกิจไม่ดี รายได้ไม่มั่นคง และไม่สะดวกในการส่งบุตรหลาน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ปกครองในกรุงเทพฯและปริมณฑล รวมถึงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่อีก 16.4% ตอบว่าไม่กระทบ เพราะไม่ได้อยู่ในพื้นที่ชุมนุม 

ส่วนกรณีนายกรัฐมนตรีประกาศแผนปรองดองแห่งชาติ 5 ข้อไปแล้ว ผู้ตอบคำถามส่วนใหญ่บอกว่า ไม่มีผลทำให้ภาวะ เศรษฐกิจ

โอกาสในการหางานทำ รายได้ และสถานการณ์ทางการเมืองดีขึ้นได้เลย แต่เชื่อว่าหลังจากผ่านไป 4-6 เดือน หลังการประกาศแผนปรองดอง น่าจะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ แต่ขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณของการบริโภคที่เพิ่มขึ้น ประชาชนยังกังวลกับสถาน การณ์การเมืองและไม่เชื่อมั่น แต่เชื่อว่าเม็ดเงินสะพัดจากการใช้จ่ายในช่วงเปิดเทอม ที่คาดว่าจะมีมากถึง 4.4 หมื่นล้านบาทนั้น   น่าจะเป็นแรงพยุงเศรษฐกิจไทยไม่ให้ตกต่ำลงได้บ้าง
   
ขณะที่รายงานข่าวจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยแจ้งว่า ธุรกิจโรงรับจำนำยังเป็นแหล่งเงินทุนที่ได้รับความนิยมในช่วงเปิดเทอมปีนี้

โดยผลสำรวจพบว่าการเปิดเทอมปีการศึกษา 2553 ทำให้เกิดเม็ดเงินสะพัดในธุรกิจโรงรับจำนำในกรุงเทพฯ ถึง 1,060 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 5.1% เมื่อเทียบกับปีการศึกษา 2552 ประกอบ กับราคาทองคำที่สูงขึ้น ทำให้ผู้ปกครองหันมาใช้ทองคำจำนำเพิ่มขึ้น เพราะโรงรับจำนำให้มูลค่าทรัพย์สินรับจำนำสำหรับทองคำสูงถึง 87.5% ของมูลค่าตลาด  
   
นอกจากนี้ การปรับตัวของธุรกิจโรงรับจำนำเอกชน ที่ทำให้ภาพลักษณ์ของโรงรับจำนำแตกต่างไปจากโรงรับจำนำแบบเดิม

ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งสถานที่ และการให้บริการที่นำเอาเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามา ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการที่สะดวก รวดเร็ว และได้มาตรฐานมากขึ้น ทำให้โรงรับจำนำสามารถขยายฐานลูกค้าได้มากขึ้น ช่วยให้ผลประกอบการของโรงรับจำนำยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
   
ที่ จ.นครพนม บรรยากาศก่อนวันเปิดภาคเรียน ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีบรรดาพ่อแม่ผู้ปกครอง แห่ไปใช้บริการตามสถานธนานุบาล หรือโรงรับจำนำกันอย่างคึกคัก

โดยนำสิ่งของมีค่าไปจำนำเอาเงินมาใช้จ่ายซื้อสิ่งของอุปกรณ์การเรียน เสื้อผ้า และจ่ายค่าเทอมให้ลูกหลาน เตรียมพร้อมก่อนเปิดภาคเรียน โดยเฉพาะสถานธนานุบาลเทศบาลเมืองนครพนม มีประชาชนมาใช้บริการวันละ 200-300 คน ซึ่งมากกว่าหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้มียอดรับจำนำวันละ 1-2 ล้านบาท สำหรับของมีค่าที่ส่วนใหญ่นำมาจำนำกัน เป็นทองรูปพรรณ เพราะราคาแพง และจำนำได้ราคาดี ทั้งนี้ทางเทศบาลเมืองนครพนมได้จัดเตรียมวงเงินหมุนเวียนช่วยเหลือประชาชนไว้กว่า 22 ล้านบาท.

เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์