ถกอีกรอบอังคารหน้ากม.ห้ามโฆษณาเหล้า

เมื่อวันที่ 19 ต.ค. นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) กล่าวถึงร่างพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งครม.มีมติส่งกลับ และให้ 6 กระทรวงพิจารณาร่วมกันอีกครั้งว่า การยกร่างครั้งแรกที่เสนอเข้าครม.นั้นตึงไป ต้องกลับมาดูว่าอย่างไรจะเรียกว่าเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งจะหารือที่ประชุมกลุ่มเล็กในครม.สัปดาห์หน้า ข้อสำคัญไม่ใช่เรื่องการห้ามจำหน่ายสุรากับบุคคลอายุต่ำกว่า 18 หรือ 25 ปี หรืออายุเท่าใด

แต่เป็นการสนับสนุนสร้างเสริมวิถีชีวิตที่ดีขึ้นของคนในสังคม การสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เช่นบริเวณใกล้เคียงสถานศึกษาที่มีเด็กอยู่จำนวนมาก ควรทำอย่างไร การมีสถานที่เป็นไปในทางอบายมุขหรือแหล่งบริโภคนิยมไม่เหมาะสม การพัฒนาทัศนคติและวัฒนธรรมของคนจะทำอย่างไรในเรื่องนี้

"รัฐบาลมีนโยบายที่ดีในการคุมโฆษณาเหล้า มีมาตรการพิเศษออกมา ก็สามารถมองได้หลายแง่มุม อยากให้ผู้เกี่ยวข้องเห็นว่าเป็นเรื่องดีกับสังคมโดยรวม แม้จะมีกลุ่มผู้เดือดร้อนบ้าง เช่นผู้ประกอบการเหล้า อาจมองว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรม อยากให้คำนึงความเหมาะสม สถานการณ์จะคลี่คลายได้ หากต้องช่วยเหลือคนเดือดร้อนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งสร้างปัญหาให้สังคมโดยรวม คงยอมไม่ได้เช่นกัน" นายไพบูลย์กล่าว

วันเดียวกัน ที่ธนาคารทหารไทย สำนักงานใหญ่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อวันอังคารที่แล้ว มีการนำเสนอร่างพ.ร.บ.การห้ามโฆษณาสุรา ความคิดของผู้นำเสนอก็น่าสรรเสริญ อย่างตนก็คือโจรกลับใจ เพราะกลับใจที่จะเลิกดื่มสุราเมื่ออายุ 60 แล้ว ไม่ได้กลับใจเพราะยังชอบอยู่ แต่ที่กลับใจเพราะเห็นแล้วไม่เป็นประโยชน์

นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งที่ตระหนักว่าในชีวิตของคนเราจะเห็นอะไรก็ต่อเมื่อได้ศึกษาอย่างจริงจัง มีการทดลองปฏิบัติ และเราสามารถตัดสินใจได้ว่าเลิก และเห็นมาเหมือนอย่างที่พูดคือโรงเรียนวิถีพุทธ เด็กเหล่านั้นถือว่าโชคดีที่ถือศีล 5 ตั้งแต่เป็นเด็กๆ ส่วนตนถือไม่ครบมาตลอดจนกระทั่งอายุ 60 ปี จึงตั้งใจว่าจะครบสักที สิ่งนี้ขอเรียนว่าเป็นเรื่องของโจรกลับใจ ก็ยังดีที่กลับใจ แต่โจรไม่กลับใจก็ลำบาก นั่นเป็นอีกส่วนที่จะนำคุณธรรมเข้ามาสู่ระบบการศึกษา

ด้านนายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า ในฐานะที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลเรื่องโฆษณาสินค้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากคณะรัฐมนตรี จะนัดรัฐมนตรีกระทรวงที่เกี่ยวข้องมาหารือกันในวันอังคารที่ 24 ต.ค.นี้ โดยสิ่งหลักที่นายกฯ มอบหมายมา คือพิจารณาอย่างรอบคอบ ปฏิบัติให้เหมาะสม และเป็นที่ยอมรับได้ ซึ่งทุกอย่างจะต้องเป็นเหตุเป็นผล มาพูดคุยกันบนหลักการ และสิ่งสำคัญคือไม่ว่าจะตัดสินใจอย่างไรออกมา ทุกอย่างจะต้องโปร่งใส และปฏิบัติได้ตามหลัก 4 ป. คือ ประหยัด โปร่งใส เป็นธรรม และประสิทธิภาพ

แหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ข่าวสด