สธ.หักคอ-คุมเข้ม ห้ามสาวเชียร์ขายเบียร์

"โครงการทอดกฐินปลอดเหล้า"


ที่ลานหินโค้งวัดชลประทานรังสฤษฏ์ เมื่อบ่ายวันที่ 11 ต.ค. พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานแถลงข่าวโครงการ ทอดกฐินปลอดเหล้าตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง โดยกล่าวว่า รัฐบาลนี้ยึดถือแนวพระราชดำริเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เป็นนโยบายสำคัญ จากการทำแผนชุมชนในหลายพื้นที่พบว่า ค่าใช้จ่ายในส่วนของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นค่าใช้จ่ายอันดับต้นๆในครัวเรือน รวมทั้งในงานประเพณีต่างๆ ซึ่งนอกจากจะทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ยังทำลายวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของไทยด้วย

พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า หลังวันออกพรรษา เทศกาลที่สำคัญของชาวพุทธคือการทอดกฐิน ซึ่งในปีนี้จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 8 ต.ค.-5 พ.ย. การทอดกฐินที่แท้จริงเป็นพิธีกรรมที่เรียบง่าย สงบ งดงาม ไม่มีค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ผู้เข้าร่วมขบวนกฐิน ควรมีความสะอาด สว่าง สงบทั้งกาย วาจา ใจ งดการทำบาปทั้งปวง แต่หลายครั้งที่ขบวนกฐินไป ไม่ถึงวัด หรือไม่มีโอกาสได้กลับบ้าน เพราะต้องเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ซึ่งมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ร่วมขบวนกฐินไปด้วย

"ความเสียหายจากการดื่มสุรา"


นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า จากข้อมูลการตลาดของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปี 2548 พบว่า คนไทยจ่ายเงินเพื่อซื้อเหล้าถึงปีละกว่า 2 แสนล้านบาท แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากเหล้าหลายแสนล้านบาทต่อปี ที่สำคัญคือ เยาวชนกลายเป็นนักดื่มหน้าใหม่ ด้วยอายุที่น้อยลงเรื่อยๆ ส่งผลให้เกิดปัญหาสังคมตามมา เช่น การตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ หรือการทำแท้ง รวมถึงการติดเชื้อเอดส์ปีละเกือบ 2 หมื่นคน สาเหตุสำคัญของการเกิดความสูญเสียดังกล่าว

มาจากการปฏิบัติตนสวนทางกับแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ยึดหลักความพอประมาณ ความมีเหตุผล ดำเนินชีวิตอย่างมีสติและปัญญา ซึ่งเป็นภูมิคุ้มกันที่ดี ทั้งนี้ หากพุทธศาสนิกชนและประชาชนชาวไทยทุกคนน้อมนำพระราชดำริมาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต ไม่เฉพาะในเทศกาลทอดกฐิน แต่ทำให้เป็นวิถีในการใช้ชีวิตก็สามารถจะมีความสุขที่ยั่งยืนได้

"อยากให้คนรุ่นใหม่กลับตัวเลิกเหล้า"


ผมเองก็ไม่ใช่คนดีนัก แต่เมื่อเราคิดที่จะปรับเปลี่ยน ทำความดี ทุกคนสามารถที่จะปฏิบัติได้ เมื่อปฏิบัติแล้วก็จะเป็นประโยชน์ ในชีวิตของคนเรา ไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะทำความดี ผมเองกลับตัวกลับใจเมื่ออายุ 60 กว่าแล้ว ซึ่งถ้าคนรุ่นใหม่สามารถที่จะกลับตัวกลับใจได้เร็ว ก็จะมีเวลาที่จะทำความดีในเวลาที่เหลืออยู่ได้มากกว่า ได้มีคุณธรรมนำชีวิต มีความสงบ ความสว่างในเบื้องหน้าต่อไป พล.อ.สุรยุทธ์กล่าว

ด้าน นพ.มงคล ณ สงขลา รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า ในแต่ละปีมีรายงานความสูญเสียจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในช่วงวันหยุดราชการติดต่อกันหลายวัน ยังไม่รวมพวกที่บาดเจ็บ พิการ ทุพพลภาพ และในทางสาธารณสุข ยังมีค่าใช้จ่ายในการที่จะต้องรักษาพยาบาล ผู้ป่วยโรคตับ ที่เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์อีกเป็นจำนวนมาก ในสัปดาห์หน้ากระทรวงสาธารณสุขจะเสนอประกาศกระทรวงสาธารณสุข ว่าด้วยการควบคุมการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสื่อทุกชนิด โดยจะห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสื่อทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ วิทยุ สิ่งพิมพ์ อินเตอร์เน็ต ป้ายคัตเอาต์ หรือแม้แต่สื่อบุคคลตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่ง สธ มีอำนาจที่จะทำได้ เนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) มอบให้กับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีอำนาจในการออกประกาศกระทรวง ซึ่ง สธ ได้เตรียมการไว้หมดแล้ว

"ห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด"


รมว.สาธารณสุขกล่าวอีกว่า ในสัปดาห์หน้าจะเชิญผู้ประกอบการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาแจ้งให้ทราบถึงการดำเนินการตามประกาศที่จะมีผลบังคับใช้ต่อไป โดยจะไม่มีการหารือหรือเจรจาใดๆทั้งสิ้น เป็นการเชิญมารับทราบประกาศกระทรวงให้ทราบและปฏิบัติตามเท่านั้น เชื่อว่าจะไม่มีบริษัทใดมาต่อรองด้วย สาระสำคัญของประกาศฉบับดังกล่าว จะห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทุกชนิดในทุกสื่อตลอด 24 ชั่วโมง เว้นแต่เป็นการถ่ายทอดสดจากต่างประเทศ ที่ไม่สามารถนำสัญลักษณ์ ทางการค้าออกได้ เพราะเป็นการส่งสัญญาณมาจากต่าง ประเทศ การห้ามโฆษณาครั้งนี้ จะรวมถึงการโฆษณาในรูปแบบอื่นๆอีก เช่น ลานเบียร์ การโฆษณา ณ จุดขายต่างๆ ของแจกของแถม รวมทั้งสาวเชียร์เบียร์ ซึ่งอยู่ในนิยามของคำว่าการโฆษณาทั้งหมด

ผมเชื่อว่า บริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาจจะมีแท็กติกหรือวิธีโฆษณาแฝงต่างๆ อาทิ ตราสัญลักษณ์คนละสีกับสัญลักษณ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จึงจำเป็นต้องหารือกับฝ่ายกฎหมายก่อนว่าจะเข้าข่ายห้ามในประกาศฉบับดังกล่าวหรือไม่ หากฝ่าฝืนประกาศฉบับดังกล่าวจะมี โทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 3 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้ จะนำ พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ ยาสูบ พ.ศ. 2535 มาเป็นต้นแบบในการดำเนินการ ขณะนี้ได้ผ่านการทำประชาพิจารณ์ เหลือแต่เข้าสู่กระบวนการพิจารณาของฝ่ายนิติบัญญัติ ในอีก 2 สัปดาห์ที่จะถึงนี้ จึงขอความกรุณา พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี สนับสนุนให้กฎหมายดังกล่าวผ่านการพิจารณาในวาระเดียว จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง เป็นบุญคุณชีวิตและทรัพย์สินของคนไทยมาก

"ทอดกฐินปลอดเหล้า ต้นแบบ"


ด้าน ศ.นพ.อุดมศิลป์ ศรีแสงนาม รองประธานสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า สำหรับโครงการกฐินปลอดเหล้า สสส.และเครือข่ายองค์กรงดเหล้า จะจัดโครงการทอดกฐินปลอดเหล้า ต้นแบบขึ้น ใน 5 จังหวัดนำร่อง คือ นนทบุรี นครราชสีมา สุรินทร์ อุบลราชธานี และมหาสารคาม ด้วย

ส่วนนางจุฬารัตน์ บุญญากร รักษาการ ผอ.สำนักงาน พระพุทธศาสนาแห่งชาติ กล่าวว่า จากการรณรงค์ให้วัดเป็นเขตปลอดเหล้า โดยใช้พื้นที่จังหวัดนครราชสีมานำร่อง สำรวจประมาณ 80 วัด พบว่าในงานทอดผ้าป่าเมื่อปี 2548 มีการดื่มแอลกอฮอล์ในวัดร้อยละ 68.8 และในงานทอดกฐินมีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวัด ร้อยละ 51.3 สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จึงพร้อมให้ความร่วมมือกับโครงการกฐินปลอดเหล้า ขณะเดียวกัน ที่ประชุมมหาเถรสมาคม ได้เห็นชอบโดยให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ แจ้งเจ้าคณะผู้ปกครองทั้งในส่วนภูมิภาค และใน กทม. และวัดทุกวัดให้สนับสนุนโครงการดังกล่าวด้วย

"น่าจะไม่ได้ผล"


อย่างไรก็ตาม จากการสอบถามผู้ประกอบการในวงการน้ำเมา ถึงกรณีที่รัฐบาลจะออกประกาศห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกสื่อ รวมถึงป้ายไฟและสาวเชียร์เบียร์ โดยมีผลในสัปดาห์หน้านั้น ได้รับคำตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า หากวัตถุประสงค์การห้ามดังกล่าว เพื่อต้องการให้ผู้บริโภคคนไทยดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเหล้า เบียร์น้อยลง น่าจะเป็นการแก้ปัญหาไม่ตรงจุดและไม่ได้ผล เพราะการห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกสื่อน่าจะทำให้ผู้บริโภค บริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กันมากขึ้น เพราะจะมีการลดราคาถล่มขายกันแหลก ซึ่งถือเป็นช่องทางเดียวในการทำตลาด

ผู้ให้ความเห็นที่ไม่ยอมเปิดเผยชื่อกล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ดูจากยอดขายสุราขาว 40 ดีกรี ที่ไม่มีการโฆษณา ยังมียอดขายสูงที่สุดในประเทศไทยถึงปีละ 60,000-70,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ประเภทอื่นๆเพราะราคาถูก และผู้บริโภคไม่สนใจในเรื่องของแบรนด์ ประกาศห้ามครั้งนี้เชื่อว่ากลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ เช่น เบียร์สิงห์ เบียร์ช้าง จะได้เปรียบและไม่เดือดร้อน เพราะสินค้าติดตลาดแล้ว ส่วนรายเล็ก รายใหม่ หรือเบียร์นำเข้า จะเข้ามาทำตลาดต้องลดราคาสู้ ทำให้ราคาถูกอย่างเดียวถึงจะอยู่รอด ขณะที่รายใหญ่ก็ลดราคาสู้ด้วย เพราะเม็ดเงินโฆษณาที่ต้องเสียต่อปีเป็นมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท ไม่ต้องใช้แล้ว ก็นำมาถล่มราคากันแหลก ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้น เชื่อว่าผู้บริโภคคนไทยจะบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กันเละ

"ถือเป็นการริดรอนสิทธิ์"


ส่วนกรณีเรื่องสาวเชียร์เบียร์นั้น หากห้ามทั้งหมดในฐานะผู้ประกอบการรายใหญ่ 1 ใน 3 รายของผู้ประกอบการเบียร์ คือ เบียร์สิงห์ เบียร์ช้าง และเบียร์ไฮเนเก้น ก็แฮปปี้ เพราะต่อปีเสียเงินกับการจ้างสาวเชียร์เบียร์ไปรวมกันมากกว่า 300-400 ล้านบาทต่อปี และที่ผ่านมา ก็ไม่มีใครยอมหยุดจ้างสาวเชียร์เบียร์ แต่อย่างไรก็ตาม การดำเนินการดังกล่าวถือว่าไม่เป็นธรรมกับอาชีพสาวเชียร์เบียร์ เพราะอาชีพดังกล่าวถือเป็นอาชีพสุจริต ซึ่งเป็นการไปจำกัดอาชีพคน และไปลิดรอนสิทธิคนเหล่านี้

ในส่วนงบประมาณที่มีการใช้ไปในการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้น ผู้สื่อข่าวรายงานจากวงการโฆษณาว่า ที่ผ่านมาทางภาครัฐก็ได้จำกัดการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อยู่แล้ว โดยให้โฆษณาหลังเวลา 22.00 น. และควบคุมการโฆษณาให้เป็นไปในแนวทางที่สร้างสรรค์ โดยตัวเลขโฆษณาทุกสื่อแต่ละปี สูงถึง 2,500 ล้านบาท แต่ทว่า หลังจากมีการควบคุมแล้วทำให้ผู้ประกอบการหันไปใช้กลยุทธ์ที่ภาษาการตลาดเรียกว่า บิโลว์ เดอะไลน์ หรือการทุ่มงบไปจัดกิจกรรมโปรโมชั่น และโฆษณาจุดขาย หรือร้านอาหารและการจัดคอนเสิร์ต ซึ่งทำให้สัดส่วนของการใช้งบประมาณในส่วนนี้ในปัจจุบันมากกว่าการใช้งบประมาณซื้อสื่อโฆษณาอีกหลายพันล้านบาท สำหรับนโยบายนี้คนในวงการโฆษณาไม่เห็นด้วย เพราะถือว่าไปจำกัดการแข่งขันในตลาด และเชื่อว่าการห้ามโฆษณาไม่ทำให้คนไทยหยุดดื่มแอลกอฮอล์แต่อย่างใด ควรจะมีนโยบายกระตุ้นให้บริษัทผู้ประกอบการทั้งหลายรับผิดชอบสังคมมากกว่า


แหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์