ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ต.ค.ลดลงครั้งแรกในรอบ 5 เดือน


ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย แถลงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ต.ค. 2552 พบว่าดัชนีปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน โดยเฉพาะการปรับตัวลดลงของดัชนีเกี่ยวกับเศรษฐกิจและโอกาสการหางานทำในปัจจุบัน
 
ทั้งนี้ การที่ดัชนีปรับลดลง เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยเดือน ต.ค.ทั้ง เบนซินและดีเซลปรับขึ้นถึงระดับ  1.80-2.60  บาทต่อลิตร  และยังมีความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมืองความกังวลปัญหาการระงับ 76 โครงการในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด การส่งออกที่พบว่ายังมีการหดตัวร้อยละ 8.3  ปัญหาดัชนีหุ้นที่ปรับตัวลดลง  31.83 จุด  โดยปรับตัวลดลงจาก 717.07 จุด ณ สิ้นเดือน ก.ย.มาเป็น 685.24 จุด ในสิ้นเดือน ต.ค. และผู้บริโภคยังกังวลเกี่ยวกับปัญหาค่าครองชีพและราคาสินค้าที่ทรงตัวระดับสูงไม่สอดคล้องกับรายได้ในปัจจุบัน แต่ดัชนีเกี่ยวกับเศรษฐกิจในอนาคตหรือ 6 เดือนข้างหน้ายังปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย จาก  72.1  มาอยู่ที่  72.4  ซึ่งเป็นการปรับตัวดีขึ้น  5  เดือนติดต่อกัน อย่างไรก็ตาม  แม้ดัชนีเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจเดือน ต.ค.จะปรับตัวลดลง  แต่จะสังเกตได้ว่าค่าเฉลี่ยของ
ดัชนีเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจทุกรายการที่มีการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส  2  ปี  2551  จนถึงไตรมาส  2 ปี 2552  เริ่มส่งสัญญาณดีขึ้นในไตรมาส  3  ปีนี้ 
สะท้อนให้เห็นว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจเริ่มมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น  แต่ไม่มีสัญญาณที่ชัดเจนว่าจะฟื้นตัวอย่างยั่งยืน

นายธนวรรธน์
  พลวิชัย  ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ  มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย  กล่าวว่า ปัจจัยที่จะมีผลต่อความเชื่อมั่นเดือนพฤศจิกายนขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลจะเร่งใช้เงินจากโครงการไทยเข้มแข็งเพื่อกระจายงบต่อระบบเศรษฐกิจได้รวดเร็วเพียงใด  ยังขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจโลก  การแก้ไขปัญหามาบตาพุดและปัญหาความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา  หากรัฐบาลสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ดีขึ้น  โดยเฉพาะการให้ข่าวสารที่ดีสร้างผลงานที่ประชาชนพอใจ ความเชื่อมั่นก็อาจจะกลับมาดีขึ้น

นายธนวรรธน์
  ยอมรับว่า ปัญหาไทย-กัมพูชา มีผลต่อความรู้สึกของประชาชน แต่ในแง่ผลกระทบทางเศรษฐกิจนั้นไม่มีนัยสำคัญ  เนื่องจากผู้นำทั้ง  2  ประเทศยืนยันว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อภาคประชาชน และจากการสำรวจการค้าชายแดนทั้ง  2  ประเทศ  พบว่าขณะนี้ยังไม่มีผลกระทบที่รุนแรง  จึงเชื่อว่าเหตุการณ์นี้จะไม่กระทบต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจ 

เครดิต :

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์