ผวามีอาเพศ กำแพงถล่ม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 09.20 น. วานนี้ (31 ส.ค.)


หลังจากเกิดฝนตกหนักติดต่อกันมาหลายวัน ได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น เมื่อจู่ๆประตูช้างเผือก กำแพงโบราณเมืองเชียงใหม่ อ.เมืองเชียงใหม่ เป็นกำแพงก่ออิฐถือปูนสูงประมาณ 4 เมตร ได้พังถล่มลงมาเป็นช่องขนาดใหญ่กว้างร่วม 2 เมตร เศษอิฐหินดินลงมากองขวางเต็มถนน และมีแนวโน้มจะพังถล่มเป็นแนวยาวอีก สร้างความตื่นตระหนกให้กับชาวบ้านที่พบเห็นเป็นอย่างมาก โชคดีที่ขณะเกิดเหตุไม่มีใครได้รับอันตราย

ต่อมานายบุญเลิศ บูรณุปกรณ์ นายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่


และนายสหวัฒน์ แน่นหนา ผอ.สำนักงานศิลปากรที่ 8 จ.เชียงใหม่ เดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุท่ามกลางกลุ่มชาวบ้านที่ทราบข่าวพากันมามุงดูจำนวนมาก ต่างจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆนานา เจ้าหน้าที่ต้องกันให้อยู่ห่างออกไป เพราะเกรงว่ากำแพงขนาดใหญ่ที่ติดกันมีรอยร้าวอย่างหนักอาจจะถล่มตามลงมา ขณะเดียวกันได้ปิดการจราจรถนนบริเวณดังกล่าวไม่ให้รถผ่าน พร้อมนำรถแบ็กโฮมาช่วยพยุงกำแพงไว้


นายบุญเลิศ บูรณุปกรณ์ นายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ เปิดเผยว่า


สาเหตุที่ประตูกำแพงเมืองโบราณพังลงมาเนื่องจากเกิดฝนตกหนักมาตั้งแต่คืนวันที่ 29 ส.ค. จนถึงขณะนี้ยังไม่มีทีท่าจะหยุดตก ทำความเสียหายในพื้นที่มาก โดยเฉพาะกำแพงเมืองโบราณประตูช้างเผือกที่ภายในมีดินอุ้มน้ำไว้มากจนพังถล่มลงมาดังกล่าว ได้ ประสานงานกับ ผอ.สำนักงานศิลปากรที่ 8 ให้เร่งบูรณะซ่อมแซมโดยด่วน นอกจากนี้ ยังต้องร่วมกับกรมศิลปากรเร่งบูรณะโบราณสถานในเขตเทศบาลอีก 10 กว่าแห่ง โดยจะจัดงบประมาณของเทศบาลดำเนินการไปก่อน


ส่วนนายสหวัฒน์ แน่นหนา ผอ.สำนักงานศิลปากรที่ 8 เปิดเผยว่า


กรมศิลปากรได้ตรวจสอบโบราณสถานใน จ.เชียงใหม่ หลายแห่ง ที่กำลังรองบประมาณในการซ่อมแซม ส่วนกำแพงประตูกำแพงเมืองที่พังลงมาก็คงต้องรื้อส่วนที่ร้าวออกหมด เพราะก้อนอิฐดินหมดสภาพไปแล้ว โดยอาจจะต้องบูรณะใหม่ทั้งหมด


ขณะที่ชาวบ้านที่พากันมามุงดูต่างให้ความเห็นว่า


สาเหตุน่าจะเกิดจากฝนตกหนักและกำแพงมีรอยร้าวมานานหลายปีแล้วไม่มีการแก้ไข จึงพังถล่มลงมา สำหรับเรื่องอาเพศหรืออาถรรพณ์นั้น เมื่อเกิดเหตุกับโบราณสถานคู่บ้านคู่เมืองก็อดจะคิดกันไม่ได้ เพราะก่อนหน้านี้ก็เกิดขึ้นที่วัดพันอ้นมาแล้ว สมควรจะต้องมีการทำพิธีอย่างใดอย่างหนึ่ง

ด้านนายวัลลภ นามวงศ์พรหม ประธานอนุกรรมการฝ่ายส่งเสริมศิลปกรรมท้องถิ่น สภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ ถึงกับตกใจเมื่อทราบว่า


กำแพงเมืองโบราณถล่มลงมา จากนั้นเปิดเผยว่า โบราณถือว่าประตูช้างเผือกเป็นประตูเดช หรือเดชะ มหาทักษาเมือง ถือว่าเป็นประตูที่ทรงอำนาจ ข่มฆ่าศัตรู จะพ่ายแพ้หมด เจ้าเมืองจะมีเดชมีกำลัง มีบารมี ใครจะมากล้ำกรายไม่ได้ ในโบราณเจ้าเมือง หรือพญามหากษัตริย์ที่จะมาปกครองเมืองเชียงใหม่ก็จะเข้ามาทางประตูนี้เพื่อเสริมเดชเสริมบารมี เมื่อพังลงมาก็ทำให้ทุกคนสามารถคิดไปได้หลายทาง ถึงแม้สาเหตุจะชัดเจนว่าเกิดจากฝนที่ตกลงมาอย่างหนักก็ตาม แต่เรื่องอาเพศ อาถรรพณ์ไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด การที่ประตูเมืองที่ถือว่ามีเดชมีอำนาจพังลงมาครั้งนี้ ก็เหมือนกับผู้ใหญ่ ของบ้านเมืองกำลังจะหมดอำนาจลงไป ถ้าหากเป็นนายกฯก็เหมือนอำนาจบารมีถึงคราวเสื่อมลงและกำลังจะหมดไปเห็นว่าชาวเมืองเชียงใหม่ควรจะมีการทำพิธีขอขมาเจ้าที่เจ้าทางให้ช่วยปกปักรักษาบ้านเมือง หรือทำบุญรับขวัญเจ้าที่เจ้าทาง หากการบูรณะซ่อมแซมเสร็จสิ้นลง

นายธเนศวร์ เจริญเมือง อาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้ความเห็นว่า


ช่วงนี้เมืองเชียงใหม่มีฝนตก ลงมาอย่างหนัก จนเป็นเหตุให้กำแพงเมืองถล่มลงมา ไม่คิดว่าเป็นเรื่องอาเพศอาถรรพณ์อะไร เพราะนั่นไม่ สำคัญเท่าการหวั่นกลัวว่าภูเขาถล่มและน้ำป่าอาจจะไหลทะลักเข้าทำลายหมู่บ้าน เพราะป่าไม้ถูกทำลายไปมาก เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นการบ่งชี้ว่าผู้นำที่ดีจะต้องลงมาดูแลแก้ไขปัญหา แก้ไขวิกฤติของบ้านเมืองให้ได้

สำหรับประตูช้างเผือก ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของกำแพงเมืองเชียงใหม่


เดิมชื่อประตูหัวเวียง สร้างขึ้นในสมัยพญามังราย เมื่อปี พ.ศ. 1819 หรือ 730 ปีมาแล้ว ต่อมาในสมัยพระเจ้าแสนเมืองมา เมื่อปี พ.ศ. 1928-1944 ได้เปลี่ยนชื่อจากประตูเวียงมาเป็นประตูช้างเผือก เพราะได้สร้างอนุสาวรีย์ช้างเผือกขึ้นที่หน้าประตูเมือง และได้มีการบูรณะเป็นครั้งแรก ต่อมาในสมัยพระเจ้ากาวิละ เมื่อปี พ.ศ. 2344 มีการบูรณะขึ้นมาอีกครั้ง จนมาถึงปี พ.ศ. 2509-2512 นายทิม โชตนา นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองเชียงใหม่สมัยนั้น ก็ได้บูรณะเป็นครั้งล่าสุดจนกระทั่งพังถล่มลงมาในครั้งนี้

แหล่งที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์