สาวบุกร้องสธ.หมอทำหน้าพัง

"พวงหรีดประท้วง"

คลินิกดังโต้ทันควันถูกรีดเงิน!


หอบพวงหรีดบุกร้องกระทรวงสาธารณสุข ระบุคลินิกความงามบนห้างเดอะ มอลล์ บางกะปิ ทำเสียโฉม สิวเห่อ หน้าเละ เผยหลงกลไปรักษาเพราะแพ้แดด หมอเจ้าของคลินิกแนะนำให้ทำมัมมี่ พร้อมกับให้ครีมนวดมาใช้พบว่าใบหน้าเริ่มมีจุดแดงๆ อักเสบเป็นหนองเต็มหน้า พอไปหาอีกก็ให้ยาแก้แพ้แก้คันและยาแก้อักเสบมากิน

เป็นๆ หายๆ ต้องเข้าออกคลินิกเสียเงินเสียทองเป็นว่าเล่น แถมไม่กล้าออกไปไหนมาไหนสู้หน้าผู้คนเป็นเวลากว่าครึ่งปี ด้านเจ้าของคลินิกโต้ ยอมรับผู้เสียหายมารักษาจริง แต่ขาดหายไปไม่ได้มาติดต่อ 10 เดือน แล้วจู่ๆ ก็มาเรียกร้องเงินค่าเสียหาย


"เรียกร้องหน้า สธ."


เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 8 ส.ค. นางกฤติยา หิรัญญาศาสตร์ อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 99/503 หมู่ 16 แขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง กรุงเทพฯ ได้เดินทางมายังสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมพวงหรีดสีดำหนึ่งพวง ซึ่งมีป้ายข้อความเขียนว่า แด่คลินิกแพทย์วสันต์ สาขาเดอะ มอลล์ บางกะปิ ชั้น 1 เอ พร้อมกับถุงบรรจุยาของคลินิกดังกล่าว ประกอบด้วยยาทาหน้า 3 ตลับ และยาแคปซูล 1 ถุง นอกจากนี้ ยังมีภาพถ่ายก่อนหน้าพังและหลังใช้ยาที่รักษา ก่อนที่หน้าจะเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงเป็นเม็ดผดผื่นขึ้นเต็มหน้า

นางกฤติยา กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ตนทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของโรงเรียนสอนคอมพิวเตอร์ บีซีซี หน้ารามคำแหงทั้ง 3 สาขา แต่ด้วยความที่เวลาออกไปเจอแดดมักจะเกิดอาการหน้าแดงคล้ายแพ้แดด แต่ยังไม่คิดที่จะรักษา จนกระทั่งเมื่อประมาณเดือนมกราคม ปี 2548 ตนได้มีโอกาสไปเดินเล่นที่ห้างดังย่านบางกะปิ และบังเอิญสังเกตเห็นว่าที่บริเวณชั้นเอ มีคลินิกรักษาเกี่ยวกับใบหน้า ชื่อคลินิกแพทย์วสันต์ สาขา เดอะ มอลล์ บางกะปิ


"อาการแย่หนักกว่าเดิมอีก"


จึงได้เดินเข้าไปปรึกษาเพื่อรักษาอาการแพ้แดดที่บริเวณใบหน้า โดยมี "หมอไก่" ซึ่งอ้างว่าเป็นหมอเวรของคลินิกดังกล่าวมาทำการรักษา โดยการนำยามาทาลงบนใบหน้าทั้งหมดพร้อมกับนำผ้ามาปิดไว้ จากนั้นก็ใช้น้ำแข็งถูไปถูมาบนใบหน้า ซึ่งหลังผ่านขั้นตอนการรักษาในคลินิกแล้ว หมอผู้รักษาได้สั่งยาให้ตนนำกลับไปรับประทานด้วย ซึ่งจากนั้นมาอีกประมาณ 2 วัน ที่บริเวณใบหน้าของตนก็เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง มีเม็ดผดขึ้นทั่วบริเวณใบหน้า ทำให้ตนเองเกิดความอับอายไม่กล้าไปทำงานอีก ต้องเก็บตัวอยู่กับบ้านเฉยๆ

นางกฤติยา กล่าวต่อว่า ต่อมาตนได้เดินทางไปหา "หมอไก่" ที่คลินิกอีก แต่ไม่พบโดยเจ้าหน้าที่ประจำคลินิกบอกว่า "หมอไก่" ออกไปแล้ว แต่มี "หมอน้อย" มาประจำอยู่ที่คลินิกแทน ซึ่งทางคลินิกก็อ้างว่าจะช่วยรักษาให้เต็มที่ แต่แล้วอาการก็ยังไม่ดีขึ้น กลับแย่หนักลงไปกว่าเดิม ต่อมาทางหมอของคลินิกก็สั่งให้ยาเป็นแคปซูลมากินเป็นประจำ ซึ่งก็ช่วยลดอาการอักเสบไปได้ แต่กลับเกิดผลข้างเคียงคือ เมื่อกินยาดังกล่าวเข้าไปแล้ว


"แจ้งความแต่คดีไม่คืบหน้า"


จะเกิดอาการตกเลือด ซึมเศร้า เบลอ และเหม่อลอย ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเมื่อตนไปหาหมอที่คลินิกเพื่อให้ช่วยรักษาหน้า ก็จะได้รับยาสั่งชนิดนี้มากินแทนเป็นประจำเกือบปี ซึ่งเมื่อลองหยุดกินยาเมื่อไร ก็จะเกิดอาการแพ้รุนแรงที่บริเวณใบหน้าทันที จึงต้องหาหมอที่คลินิกแห่งนี้เพื่อนำยาไปรับประทาน และต้องจ่ายเงินค่ายาในแต่ละครั้งประมาณ 500-700 บาท ไม่รวมค่ารักษาเป็นคอร์สอีกครั้งละ 6,000-7,000 บาท ส่วนสาเหตุที่ตนไม่เดินทางไปทำการรักษากับหมอคนอื่น เพราะเกรงว่าทางคลินิกจะใช้เป็นข้ออ้างปฏิเสธความรับผิดชอบ

นางกฤติยา กล่าวอีกว่า ส่วนสาเหตุที่ทำให้ตนต้องมาร้องขอความเป็นธรรม เนื่องจากหลังจากที่ได้พูดคุยกับหมอที่รักษาแล้ว ตอนแรกทางหมอของคลินิกยินยอมที่จะชดใช้ค่าเสียหายให้ แต่ต่อมากลับปัดความรับผิดชอบ และท้าให้ตนไปฟ้องร้องเอาเอง ทำให้ตนตัดสินใจเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลาดพร้าว เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.2549 แต่เรื่องก็เงียบ ไม่มีความคืบหน้า ซึ่งทางตำรวจบอกกับตนว่าฝ่ายนั้นเขาเป็นถึง พ.อ.(พิเศษ) ขณะที่ตำรวจมียศเพียงพ.ต.ต. จะไปทำอะไรได้ นอกจากนี้ ตนยังถูกหมอของคลินิกคนดังกล่าวข่มขู่ว่าจะเอาอย่างไร เขาเป็นทหาร มีลูกน้องเยอะ ให้กลับไปคิดดู ซึ่งหลังจากได้รับคำขู่ทำให้ตนเครียดถึงกับคิดที่จะฆ่าตัวตาย จึงตัดสินใจมาร้องขอความเป็นธรรม


"จะตรวจสอบหาข้อเท็จจริงส่งให้แพทย์สภาพิจารณา"


หลังจากให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวแล้ว นางกฤติยาได้นำพวงหรีดสีดำ ไปมอบให้กับนายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงศ์ ผอ.กองการประกอบโรคศิลปะ เพื่อร้องเรียนขอความเป็นธรรม และให้ตรวจสอบคลินิกดังกล่าวด้วยว่ามีพฤติกรรมแอบอ้าง หลอกลวง และเลี้ยงไข้อาการผู้ป่วยหรือไม่

ด้าน น.พ.ธเรศ กล่าวว่า ได้รับเรื่องร้องเรียนไว้แล้ว จะตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป โดยเชิญผู้เสียหายและแพทย์ผู้ให้การรักษามาให้ข้อมูลต่อคณะอนุกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง หากมีประเด็นเกี่ยวข้องวิชาชีพ ก็จะส่งให้แพทยสภาพิจารณาดำเนินการต่อไป


"ขาดการรักษาไป จู่ๆโทรมาเรียกร้อง"


ผู้สื่อข่าวได้โทรศัพท์ไปสอบถามที่คลินิกดังกล่าว ผู้รับสายว่าอ้างว่าน.พ.วสันต์ และยอมรับว่านางกฤติยาผู้เสียหายได้มารักษาที่คลินิกจริง เพราะมีอาการแพ้ที่ใบหน้า เมื่อทางคลินิกให้การรักษาไป พร้อมทั้งจัดยาให้รับประทาน ซึ่งผลก็เป็นที่น่าพอใจเพราะใบหน้าของผู้เสียหายกลับมาสู่สภาพปกติ แต่ด้วยเหตุใดไม่ทราบผู้เสียหายได้ขาดการติดต่อไป ไม่มารับการรักษา และไม่ทราบว่าไปทำการรักษาที่ไหนอีก จู่ๆ ผู้เสียหายก็โทรศัพท์ติดต่อมา พร้อมทั้งเรียกค่าเสียหายเป็นเงินจำนวนมาก

เมื่อผู้สื่อข่าวพยายามที่จะสอบถามถึงการรักษา ปรากฏว่าได้มีเสียงผู้หญิงมาขอพูดโทรศัพท์แทน โดยแนะนำตัวเองว่าชื่อพ.อ.หญิงอังคณา สุเมธสิทธิกุล เป็นภรรยาของ พ.อ.พิเศษวสันต์ พร้อมทั้งกล่าวว่า จริงๆ แล้ว ผู้เสียหายมาทำการรักษาที่คลินิก และได้หยุดรักษาไปประมาณ 10 เดือน จำได้ครั้งสุดท้ายที่มาคลินิกคือเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2548


"เตรียมฟ้องหมิ่นประมาท"


หลังจากนั้นก็ไม่ติดต่อมาอีกเลย จนกระทั่งล่าสุดได้โทรศัพท์มาที่คลินิก พร้อมทั้งเรียกค่าเสียหาย 3.5 แสนบาท เมื่อทางคลินิกไม่ยอมจ่ายก็ลดลงมาเหลือ 1.5 แสนบาท ซึ่งตนเห็นว่าไม่ถูกต้องที่ทางคลินิกจะต้องมาเสียเงินทั้งๆ ที่ไม่ใช่ความผิด ตนเป็นทหาร และสามีของตนก็เป็นถึงพ.อ.พิเศษ เป็นแพทย์ทหาร ไม่มีความคิดที่จะไปทำร้ายใคร และเตรียมที่จะดำเนินการฟ้องหมิ่นประมาท

"ทุกครั้งที่ผู้เสียหายมาทำการรักษาทางคลินิกจะให้ลงลายมือชื่อยินยอมที่จะให้ทางคลินิกรักษา ทางคลินิกมีเอกสารทุกอย่างและพร้อมที่จะไปชี้แจงกับกองประกอบโรคศิลปะ หากมีการเรียกมา" ผู้หญิงที่อ้างว่าชื่อพ.อ.หญิงอังคณากล่าว


แหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ข่าวสด

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์