ชี้ ศก.ไทยถึงก้นเหวปลายปี 52 [

นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซี.พี.) กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปีหน้าต้องคอยระวังตั้งแต่ช่วงต้นปีถึงกลางปี โดยเฉพาะในไตรมาส 3 ที่อาจจะถึงจุดต่ำสุดจากนั้นจะเริ่มดีขึ้นในช่วงปลายปี

โดยเชื่อว่าประเทศจีนจะฉุดให้เศรษฐกิจโลกดีขึ้น เนื่องจากจีนมีประชากร 1,300 ล้านคน เชื่อว่านโยบายเศรษฐกิจของจีนที่มีประสิทธิภาพมากมีอำนาจบริหารเบ็ดเสร็จ จะช่วยให้ประเทศไทยมีโอกาสขายอาหารที่จีนไม่มีเข้าสู่ตลาดได้  

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าวิกฤติเศรษฐกิจรอบนี้ ประเทศไทยจะสะเทือนน้อยสุด เพราะช่วงที่เศรษฐกิจโลกเติบโตนั้น การเมืองของไทยยังไม่นิ่งทำให้ผู้ที่มีเงินสดเหลือไม่ค่อยนำเงินไปลงทุนซื้อตราสารหนี้หรือพันธบัตรของธนาคารที่มีชื่อเสียงทั้งหลาย ซึ่งในท้ายที่สุดล้วนประสบความเสียหายไปหมด
  

อย่างไรก็ตาม ในปีหน้าถ้ารีบยกระดับราคาสินค้าเกษตรให้เทียบเท่ากับราคาน้ำมัน และเร่งช่วยเหลือปล่อยกู้ให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (เอสเอ็มอี) ทำให้เกษตรกรส่วนใหญ่มีรายได้ กำลังซื้อที่เกิดขึ้นจะช่วยให้ธุรกิจที่ต้องพึ่งพาตลาดต่างประเทศมีโอกาสกลับมาพึ่งพาตลาดภายในประเทศมากขึ้น ธุรกิจเอสเอ็มอี แม่ค้าหาบเร่แผงลอย ธุรกิจบริการ โรงงานไม่ต้องเอาคนออก รัฐบาลก็จะสามารถเก็บภาษีได้ปกติ “ถ้าสินค้าทุกอย่างราคาลงตามราคาน้ำมันรัฐบาลจะเก็บภาษีได้น้อยเพราะตัวเงินน้อยลง เมื่อราคาสินค้าตกลงไป 30% ภาษีก็เก็บได้น้อยลง 30% ถ้ายิ่งคนซื้อน้อยลงไปด้วยอีก เพราะไม่มีเงินจับจ่ายใช้สอยจะยิ่งเป็นตัวอันตราย”
 

นอกจากนี้ ในเรื่องของการท่องเที่ยวที่ได้ บทเรียนจากการที่ทั่วโลกไม่พอใจกรณีการปิดสนามบิน ก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศอย่างมาก เพราะรายได้จากการท่องเที่ยวปีละกว่า 400,000 ล้าน ที่แม้จะหดหายไปราว 100,000 ล้านบาท แต่รายได้ส่วนนี้ถ้ามีการหมุนเวียนในประเทศ 5 รอบ จะมีเม็ดเงินหายไปจากระบบถึง 500,000 ล้านบาท จะทำให้ธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่องได้รับผลกระทบถ้วนหน้า รัฐบาลจึงต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะทำให้ท่องเที่ยวคืนสู่ภาวะปกติโดยเร็ว “ไม่ว่ารัฐบาลไหนเข้ามาบริหารประเทศ เรื่องเร่งด่วนคือทำให้ราคาสินค้าเกษตรดีขึ้น และเรื่องท่องเที่ยว เป็นเรื่องเร่งด่วนที่สุดรวมถึงสนับสนุนธุรกิจเอสเอ็มอี รัฐบาลต้องเข้าไปแทรกแซงราคาให้ราคาสินค้าเกษตรสูงขึ้น เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาประเทศไทยให้เกษตรกรมาช่วยเหลือคนจนในเมืองแล้วก็ยิ่งจนลง ในโลกนี้มีแต่สนับสนุนให้ราคาสินค้าเกษตรสูงขึ้น” 


นายอภิชาต จงสกุล เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กล่าวในงานสัมมนาเรื่องภาวะเศรษฐกิจปี 2551 และแนวโน้มปี 2552 ว่าในช่วง ม.ค-ส.ค.ปี 2551 ราคาสินค้าเกษตรทุกตัวอยู่ในเกณฑ์ที่สูงมากและแม้ว่าจะเกิดปัญหา วิกฤติเศรษฐกิจขึ้น แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบกับราคาในภาพรวมของปี 2551 มากนัก ทำให้ประมาณการอัตราการเจริญเติบโตของจีดีพีในภาคเกษตรในปี 2551 ยังคงขยายตัวได้ดีประมาณ 4.4% ขณะที่ปี 52 คาดว่าจะขยายตัวได้ประมาณ 3-4% ชะลอตัวลงเล็กน้อย แต่หากภาครัฐไม่มีนโยบายใดๆ เพื่อรองรับผลกระทบปัจจัยภายนอก ก็คาดว่าจีดีพี ภาคการเกษตรปี 52 จะขยายตัวเพียง 2% เท่านั้น 


นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวว่า จากสถานการณ์ด้านการเมืองในประเทศ ส่งผลให้ไตรมาส 4 ปี 51 เศรษฐกิจไทยเติบโตติดลบ 2% แต่ยังดีที่เมื่อครึ่งปีแรกที่เศรษฐกิจสามารถโตมากกว่า 5.5% ดังนั้น ตลอดทั้งปี สศค.จึงประเมินว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะเติบโตได้ประมาณ 3.2% และปี 52 น่าจะสามารถเติบโตได้ประมาณ 0-2% นั่นหมายถึงไม่มีสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น


ดังนั้น หากในวันที่ 15 ธ.ค.นี้ไม่มีการเลือกนายกรัฐมนตรี สิ่งที่มีการคาดกันว่าเศรษฐกิจจะเติบโตได้ไม่ติดลบก็คงจะเป็นไปได้ยาก แต่หากมีรัฐบาลใหม่เข้ามา มีการสานต่องานเดิมเช่นโอทอป หรือมีการขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านโครงการต่างๆ ก็น่าจะทำให้เศรษฐกิจสามารถเดินหน้าได้ เพราะหากให้ดูพื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศ ตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวยังไม่วิกฤติ พื้นฐานเศรษฐกิจยังแกร่งอยู่มาก เงินสำรองมีเพียงพอ ตัวเลขคนว่างงานยังต่ำแค่ 1.1% ดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลง ซึ่งเป็นแนวโน้มสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้

สำหรับแนวโน้มการเติบโตของภาคเกษตรปี 52 มีสัญญาณน่าเป็นห่วงคือรายได้ของเกษตรกรประจำเดือน ต.ค.51 ปรับตัวลดลงจนติดลบประมาณ 0.6% ดังนั้น เป็นหน้าที่หลักอย่างหนึ่งของรัฐบาลใหม่ที่เมื่อเข้ามาต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเกษตรกร เพราะเป็นความหวังสำคัญคือภาคเกษตรจะเป็นตัวดูดซับแรงงานจากอุตสาหกรรมที่ตกงาน  

นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหารธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สถานการณ์ในขณะนี้รัฐบาลสามารถใช้นโยบายการเงินและนโยบายการคลังได้อย่างเต็มที่และถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะใช้นโยบายดังกล่าว ส่วนการตั้งรัฐบาลชุดใหม่โดยเร็วถือว่าเป็นเรื่องดีจะเป็นใครก็ได้เข้ามาบริหารประเทศ ส่วนการเข้าถึงสินเชื่อของกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) ในปีหน้าไม่น่าจะมีปัญหาดังที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้.    


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์