ทดลองวันแรก ไขปริศนาจักรวาล

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานความสามารถของมนุษย์เพื่อค้นคว้ากำเนิดของจักรวาลว่า เมื่อช่วงบ่ายวันพุธที่ 10 ก.ย. ตามเวลาประเทศไทย

องค์การวิจัยนิวเคลียร์แห่งยุโรป (เซิร์น) ในสวิตเซอร์แลนด์ ประสบความสำเร็จกับการทดลองครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ด้วยการ เดินเครื่องเร่งความเร็วอนุภาคที่ใหญ่ที่สุดในโลก (Large Hadron Collider-LHC) เพื่อยิงอนุภาคโปรตอนให้ชนกันอย่างรุนแรง จนเกิดความเร็วเท่ากับความเร็วของแสง เพื่อค้นคว้าหาที่มาของปรากฏการณ์ “บิ๊กแบง” หรือการชนปะทะของอนุภาคเล็กๆอย่างรุนแรงตามทฤษฎี การก่อกำเนิดของจักรวาลเมื่อ 13,700 ล้านปีก่อน อันเป็นก้าวสำคัญของโลกวิทยาศาสตร์อีกขั้นหนึ่งที่ต้องการศึกษาไขปริศนาหลายอย่างของจักรวาล  


ทั้งนี้ นายลิน อีวานส์ หัวหน้าโครงการกล่าวว่า กระบวนการเร่งความเร็วอนุภาคเกิดขึ้นภายในอุโมงค์ ขนาดยักษ์ ที่มีลักษณะเป็นท่อใต้ดินวนเป็นวงกลมยาว 27 กม.

โดยอุโมงค์นี้ฝังอยู่ใต้พื้นดินลึกลงไปประมาณ 100 เมตร หรือประมาณ 300 ฟุต มีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่บริเวณพรมแดนฝรั่งเศสกับสวิตเซอร์แลนด์ โดยขั้นตอนเริ่มด้วยการยิงลำแสงโปรตอนเข้าไปในอุโมงค์ดังกล่าว แล้วเร่งความเร็วของอนุภาคจนใกล้ระดับความเร็วแสงถึง 99.99 เปอร์เซ็นต์ หมุนวนด้วยความเร็ว 11,245 ครั้งต่อวินาที อยู่ภายในอุโมงค์ในรูปแบบตามเข็มนาฬิกาและทวนเข็มนาฬิกา จนก่อให้เกิดสนามแม่เหล็กพลังสูง ลักษณะเดียวกับทฤษฎีกำเนิดจักรวาล เพื่อปล่อยให้สองอนุภาคชนกัน เปรียบเทียบง่ายๆ คล้ายกับการยิงกระสุนปืนหลายๆนัด กระสุนบางนัดที่ทะลุทะลวงอากาศอาจพลาดเป้าหมาย แต่ก็จะมีหนึ่งนัดโดนเป้าหมายที่เล็งไว้ ซึ่งจะเกิดขึ้นเพียงช่วงเสี้ยววินาที และระหว่างดำเนินการก็จะเกิดความร้อน มีอุณหภูมิสูงกว่าแกนกลางของดวงอาทิตย์เกิน 100,000 เท่า กระนั้น ระบบหล่อเย็นรอบวงแหวนแอลเอชซี ประกอบด้วยสารเหลวซุปเปอร์ฮีเลียม จะคอยรักษาระดับอุณหภูมิของเครื่องแอลเอชซีไว้ที่ -271.3 องศาเซลเซียส คาดว่าการชนกันครั้งแรกจะเกิดขึ้นในอีกหลายสัปดาห์


ขณะเดียวกัน นายโรเบิร์ต ไอยมาร์ ผู้อำนวยการทั่วไปของเซิร์น เปิดเผยว่า คณะนักวิทยาศาสตร์ วิศวกร และช่างเทคนิค ร่วมโครงการนี้มีอยู่ราว 5,000 คน จากกว่า 30 ประเทศ

เริ่มโครงการศึกษาชิ้นนี้มานานเกือบ 20 ปี ใช้งบประมาณมากกว่า 5,460 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 185,640 ล้านบาท) นับเป็นการค้นคว้าทดลองในเชิงวิทยาศาสตร์ที่ใช้งบประมาณสูงสุดติดอันดับโลก และถือเป็นงานวิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อนมากที่สุดในโลก
 ก่อนการทดลองทางฟิสิกส์ครั้งใหญ่สุดของโลกครั้งนี้จะเริ่มขึ้น ได้เกิดข่าวลือมากมายและส่งต่อๆกันไปในโลกอินเตอร์เน็ต ส่วนใหญ่จะออกมาในทางลบ จนสร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชน โดยหลายฝ่ายระบุว่าโครงการแอลเอชซีกำลังพยายามสร้าง “หลุมดำ” (Black Hole) หรือปรากฏการณ์อุโมงค์พิศวงขนาดเล็ก ที่มีพลังดึงดูดดาวเคราะห์ต่างๆให้หายไปจากจักรวาลได้ อย่างง่ายดาย รวมถึงดาวโลก ถึงขั้นทำลายล้างโลก หรือที่รู้จักกันว่า วันมหาวิปโยค (Doom's Day) ซึ่งเปลี่ยนขั้วแม่เหล็กโลกให้เหลือข้างเดียวได้ อย่างไรก็ดี นักวิทยาศาสตร์ผู้เกี่ยวข้องกับโครงการนี้ ได้ประเมินความเสี่ยงแล้ว พบว่าเป็นไปไม่ได้ และไม่พบหลักฐานว่าจะก่อให้เกิดอันตรายแต่อย่างใด 


ด้านนักวิทยาศาสตร์ไทย นายสุทัศน์ ยกส้าน นักทฤษฎีฟิสิกส์ ที่ปรึกษาด้านวิชาการศูนย์สื่อสารวิทยาศาสตร์ไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ได้แสดงความคิดเห็นถึงการทดลองจำลองการเกิดปรากฏการณ์บิ๊กแบง โดยใช้เครื่องเร่งอนุภาคความเร็วสูงเกือบเท่าแสงหรือ แอลเอชซี ว่า โอกาสการเกิดหลุมดำจากการทดลองมีเพียง 1 ใน 50 ล้านเท่านั้น และหากเกิดหลุมดำจริง จะเป็นหลุมดำที่จะมีขนาดเล็กได้ถึงระดับพิโคเมตร หรือ 10-15 เมตรเท่านั้น


นายสุทัศน์ได้อธิบายอีกว่า ทั้งนี้เพราะตามทฤษฎีการเกิดหลุมดำขนาดใหญ่ในเอกภพโดยทั่วไป เกิดจากการยุบตัวด้วยแรงโน้มถ่วงของดาวฤกษ์

กล่าวคือ โดยปกติดาวฤกษ์ในเอกภพจะอยู่ในสภาพสมดุล คือต้องมีแรงผลักออกซึ่งเกิดจากการปล่อยแสงสว่างหรือรังสีที่เกิดจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ และแรงดึงดูดที่เกิดจากแรงโน้มถ่วง เมื่อดาวฤกษ์ได้เผาผลาญพลังงานนิวเคลียร์ ภายในตัวจนหมด จะทำให้ไม่มีแรงผลักออก เหลือเพียงแรงดึงเข้าสู่จุดศูนย์กลาง จนเกิดการยุบตัวกลายเป็นหลุมดำ 
“สิ่งสำคัญที่ควรสนใจคือหากเกิดหลุมดำขนาดจิ๋วจริง ทุกคนจะเห็นว่าหลุมดำรูปร่างเป็นอย่างไร อีกทั้ง ทฤษฎีของฮอว์กิ้งยังค้นพบว่า หลุมดำไม่ได้เป็นสีดำ เพราะในช่วงการสลายตัวจะมีการปล่อยรังสีฮอว์กิ้ง (Hawking  radiation) ออกมา จึงเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมากหากได้เห็น” นายสุทัศน์กล่าว 


ทั้งทฤษฎีการปล่อยรังสีฮอว์กิ้ง มีต้นกำเนิดมาจากนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ ศาสตราจารย์คณิตศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์

แม้จะมีสภาพเป็นคนพิการ แต่ ก็ได้ชื่อว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะของโลก ผู้พยายามถอดรหัสจักรวาล โดยผลงานวิจัยที่สำคัญที่สุดของอัจฉริยะพิการผู้นี้ น่าจะได้แก่ งานวิจัยเกี่ยวกับ “หลุมดำ” และ ผลงานเขียนหนังสือที่โด่งดังมากได้แก่ประวัติย่อของเวลา


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์