พบวัดพิลึก ห้ามไหว้พุทธรูป

เมื่อวันที่ 25 ก.ค. ภายหลัง นสพ.ไทยรัฐ ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนที่ไปทำบุญที่วัดสามแยก บ้านห้วยยางทอง ต.วังกวาง อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ ว่า ทางวัดห้ามชาวบ้านกราบไหว้ พระพุทธรูป

แถมยังติดป้ายข้อความไว้หน้าองค์พระอย่างไม่เหมาะสม กลายเป็นที่ฮือฮาของชาวบ้านทั้งในและพื้นที่ใกล้เคียง จ.เพชรบูรณ์
ต่อมาผู้สื่อข่าวได้ไปตรวจสอบข้อเท็จจริง พบเป็นวัดอยู่ห่างจากตัวเมืองเพชรบูรณ์ประมาณ 150 กม. ทางเข้าวัดเป็นลูกรังขรุขระ ระยะทางกว่า 13 กม. ด้านหน้าวัดมีป้ายขนาดใหญ่เขียนแจ้งให้ผู้ที่เข้ามาภายในเขตวัดอ่านและปฏิบัติตามกฎของวัดอย่างเคร่งครัดหลายสิบข้อ ก่อนเข้าวัดมีเหล็กกั้นขวางทางเข้า-ออก ลักษณะเป็นเหล็กแป๊บยาวที่ใช้กั้นทางเข้าเขตหวงห้ามทั่วไป ภายในวัดมีโรงธารขนาดใหญ่ ศาลาการเปรียญสองชั้น 1 หลัง ในศาลามีกล้องวงจรปิดติดตั้งไว้จับภาพผู้ที่เข้ามาภายในวัด บริเวณด้านหลังวัดมีกุฏิพระหลังเล็กๆอยู่ล้อมรอบหลายหลัง แต่ไม่มีโบสถ์วิหารเหมือนวัดทั่วไป รวมทั้งห้ามถ่ายภาพนิ่งภายในเขตวัดและบริเวณสงฆ์


ส่วนหน้าศาลาการเปรียญมีป้ายข้อความเขียนอย่างเด่นชัดว่า

 
ตามที่ข้าฯสอนคำพุทธองค์ยังพึ่งมนต์ การปลุกเสกเครื่องรางฯ รูปเคารพ ถ้าอยากฟัง สิ่งที่ข้าฯพูดให้ได้ประโยชน์ ควรนำสิ่งเหล่านั้นออกให้พ้นจากความคิด แล้วมาฟังถามปัญหากับข้าฯ ใครทำไม่ได้อย่ามา เสียเวลาเหนื่อยเปล่าๆ ทั้งคนพูดและคนฟัง ขอยืนยันคำพุทธแท้ท่านไม่ให้พึ่งสิ่งเหล่านั้น ใครพึ่งถือว่าเป็นชาวพุทธสกปรกลงชื่อ พระเกษม อาจิณณสีโล

 

อีกป้ายมีข้อความว่า เมื่อข้าฯเทศน์ให้ผู้พึ่งมนต์ เครื่องรางของขลังฟัง ข้าฯเหนื่อย หงุดหงิด ไม่สบายใจ รู้สึกไม่ดี

เมื่อไม่พึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแท้จริง ไม่ต้องมาฟังข้าฯเทศน์ ข้าฯเหนื่อยโดยเปล่าประโยชน์ เพราะผู้มีเครื่องรางของขลัง ของอย่างนี้ฟังไม่เข้าใจ
นอกจากนี้ ในศาลาการเปรียญยังมีข้อความคำสอนที่อ้างอิงจากพระไตรปิฎกติดไว้ตามเสาศาลาการเปรียญจำนวนมาก และพบพระพุทธรูปทองเหลืองคล้ายพระพุทธชินราช สูงประมาณ 150 ซม. หน้าตักกว้าง 90 ซม.ตั้งอยู่บนแท่นมีป้ายข้อความ 2 แผ่นวางไว้หน้าองค์พระ ป้ายแรกวางระบุว่า ห้ามนำดอกไม้และเครื่องบูชามาวางไว้บริเวณนี้ ส่วนอีกป้ายวางไว้ตรงฐานพระเขียนว่า ทองเหลืองหล่อนี้ ไม่ใช่พุทธเจ้าแน่ ไม่ต้องกราบมัน

 

สอบถามทราบว่า เจ้าอาวาสวัดนี้ชื่อ พระเกษม อาจิณณสีโล อายุ 48 ปี ถึงเหตุผลที่ต้องปิดป้ายห้ามกราบไหว้พระพุทธรูปจนกลายเป็นเรื่องฮือฮาในหมู่ชาวพุทธ ได้รับการชี้แจงว่า หากใครไม่ยินดีที่จะรับฟังคำสอนก็ไม่จำเป็นต้องเดินทางมา

เพราะวัดนี้ได้ยึดตามแนวพระไตรปิฎกทั้งสิ้น โดยไม่ยึดถือตำราใดๆ และการมีวัตถุมงคลนั้นถือเป็นอุปสรรคในการเข้าถึงแก่นของพระพุทธศาสนา หากผู้ใดไม่นำสิ่งของวัตถุมงคลทั้งพระพุทธรูป ตะกรุด พระห้อยคอต่างๆออกจากตัวและบ้านพักเคหสถาน แล้วก็ไม่ต้องเข้ามาที่วัดแห่งนี้ เพราะที่วัดสอนอย่างมีหลักการและเหตุผลสำหรับคนที่เปิดประตูรับเท่านั้น และจะต้องไม่ติดยึดกับวัตถุมงคลเพราะเป็นพุทธพาณิชย์

 

พระเกษมยังกล่าวอีกด้วยว่า การสอนธรรมะก็เช่นกัน ในพระไตรปิฎกได้บัญญัติไว้ว่าให้สอนธรรมะด้วยภาษาท้องถิ่น

การสวดเป็นภาษาบาลีให้คนไทยฟังโดยไม่มีความเข้าใจในความหมายนั้นจะไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ก่อนหน้านั้นผู้ที่มีความรู้หรือการศึกษาระดับสูงเคยเข้ามาที่วัดครั้งแรกก็ไม่เข้าใจในแนวทางนี้ แต่เมื่อได้รับหนังสือของวัดไปศึกษาก็บังเกิดความเข้าใจและกลับไปนำพระพุทธรูปออกจากบ้าน นำพระเครื่องออกจากคอและหันกลับมาศึกษาในพระไตรปิฎกซึ่งเป็นแก่นแท้ของพุทธศาสนาอย่างแท้จริง
อาตมาไม่ได้มุ่งหวังจะให้ทุกคนต้องเข้ามาตามแนวทางนี้ หากมา 10 คนสามารถเข้าถึง 1 คน หรือหากมา 100 เข้าถึง 5 คน ก็ไม่เป็นไร ได้เท่าไรก็เท่านั้นเพราะขึ้นอยู่กับการเปิดรับของแต่ละบุคคล แม้มีเพียง 5 คนที่เข้าใจก็จะสอนให้ เท่านั้น พระเกษมกล่าว

 

จากการสอบถามลูกศิษย์คนหนึ่งของพระเกษม กล่าวว่า คำสอนของพระเกษมไม่ให้ติดยึดกับเครื่องรางของขลัง

ก่อนหน้านั้นที่บ้านของตนมีพระพุทธรูปและพระเครื่องที่ได้มาจากบรรพบุรุษ แต่พอได้ฟังธรรมจากพระเกษมที่สอนว่าในพระไตรปิฎก ไม่ได้กล่าวถึงการสร้างวัตถุมงคล หรือพระพุทธรูป ถือเป็นสิ่งงมงายกับวัตถุที่อุปโลกน์กันขึ้นมา แถมยังทำให้จิตใจผูกติดอยู่กับสิ่งนั้น ไม่เข้าใจถึงแก่นของพระธรรม คำสอนของพุทธเจ้าได้ พระอาจารย์สอนว่า ที่ผ่านมาเราเชื่อและกราบไหว้พระพุทธรูป ก่อนตายให้นึกถึงคุณพระเอาไว้ ทำให้จิตของคนที่กำลังจะตายติดอยู่ในพระพุทธรูปองค์แล้วเราก็นำมา กราบไหว้โดยที่ไม่รู้ว่ากำลังไหว้วิญญาณของคนที่ตายไป ที่ถูกควรระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ใช่มายึดถือกราบไหว้พระพุทธรูป

 

ลูกศิษย์พระเกษมกล่าวอีกว่า วัดสามแยกเคยได้รับบริจาคพระพุทธรูป วัตถุมงคลจำนวนมาก

หลังรับมาแล้ว พระอาจารย์จะขุดหลุมนำพระพุทธรูปและวัตถุมงคลต่างๆวางในหลุมแล้วราดด้วยน้ำกรดผสมเกลือเพื่อให้ผุพังและฝังกลบทิ้งทันที เหลือแต่พระพุทธรูปทองเหลืองเพียงองค์เดียวที่ทางวัดเก็บไว้ให้เป็นการเตือนสติ ไม่ให้ยึดถือโดยเขียนป้ายห้ามกราบไหว้ไว้ให้ดูเป็นตัวอย่าง ซึ่งคำสอนไม่ให้ติดยึดกับวัตถุมงคลอาจจะแตกต่างจากวิถีชีวิตของพุทธศาสนิกชนทั่วไป แต่ที่จริงแล้วก็เหมือนกัน เพราะดำเนินการไปตามแนวทางของพระไตรปิฎกอย่างเคร่งครัด

 

ด้านนายอินทภร จั่นเอี่ยม ผอ.สำนักพระพุทธศาสนา จ.เพชรบูรณ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ได้รับการร้องเรียนมาหลายเดือน

ได้ส่งเรื่องถึงพระวิสุทธินายก เจ้าคณะจังหวัดเพชรบูรณ์ ฝ่ายธรรมยุตไปแล้ว เพื่อดำเนินการไปตามขั้นตอนของสงฆ์ อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบพบว่าสถานที่แห่งนี้เป็นเพียงที่พักสงฆ์ไม่ใช่วัด ส่วนการห้ามกราบไหว้พระพุทธรูปนั้นอาจไม่เหมาะสม

 ต่อมาผู้สื่อข่าวได้สอบถามพระวิสุทธินายก เจ้าคณะจังหวัดเพชรบูรณ์ฝ่ายธรรมยุตถึงเรื่องเดียวกันได้รับการเปิดเผยว่า เรื่องร้องเรียนพระเกษมที่ได้รับมาครั้งแรกเป็นเรื่องห้ามชาวบ้านแขวนพระเครื่อง

และได้ให้เจ้าคณะอำเภอไปว่ากล่าวตักเตือนแล้ว ส่วนเรื่องห้ามกราบไหว้พระพุทธรูป หรือทำลายพระพุทธรูปนั้นยังไม่ทราบเรื่อง ต้องไปตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน
พระเกษมเป็นคนที่เถรตรงเกินไป เรื่องบางเรื่องไม่เหมาะสมก็ทำ อย่างเรื่องการโอนบุญให้เชื้อโรคก็ไม่เคยมีในศาสนาพุทธ แต่กลับทำกัน เรื่องนี้ต้องขอตรวจสอบก่อน เจ้าคณะจังหวัดเพชรบูรณ์กล่าว

เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์