๖๐ ปีแห่งอานิสงส์บารมีธรรม

ไทยโพสต์

เปลวสีเงิน
วันเสาร์ที่ปลายซอย
3 มิถุนายน 2549 กองบรรณาธิการ

อะไรๆ ที่ต้องแย่งกัน ผมแย่งกับเขาไม่ค่อยทันซักที เสื้อสีเหลือง "ฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี" นี่ก็เหมือนกัน กลายเป็นสินค้าขาดตลาด-ขาดประเทศไปอย่างมหัศจรรย์ บุกไปถึงห้าง "แกรนด์สปอร์ต" แหล่งผลิตมาตรฐานคู่ไทย ก็ได้มาแค่ ๒ ตัวที่เหลือติดร้าน!

ใครๆ ก็รักในหลวง เห็นแล้วก็ปลื้มในความเป็นคนไทยที่มี "พระเจ้าแผ่นดิน" เป็นสมบัติกลางอยู่หว่างใจเหมือนกันทุกคน

ที่หมู่บ้านประชานิเวศน์ ๑ ของผม คณะกรรมการหมู่บ้านเขาคิดดี อยากให้ทุกบ้านมีส่วนร่วม เฉลิมฉลองในวาระ "ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี" ด้วยการประดับประดาธงหน้าบ้านให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนๆ กัน

การจะให้เป็นระเบียบเรียบร้อย "ที่เหมือนกัน" ด้วยการให้แต่ละบ้านต่างคนต่างไปซื้อหามาประดับกันเอง นั่นก็เรียบร้อยได้ แต่จะให้ "เหมือนๆ กัน" คงจะยาก

ทางหมู่บ้านเลยจัดหามาให้ บ้านไหนต้องการก็โทร.ไปแจ้ง แล้วเขาจะมาติดตั้งให้ถึงหน้าบ้าน ผมก็เลยอุดหนุนความตั้งใจดีเขาไป

ธงเหลืองคู่กับธงชาติ ขนาดไม่ใหญ่-ไม่จิ๋ว เรียกว่าพองามพร้อมแป้น อยากจะติดตรงไหนบอกเขา เขาก็จะติดให้ ความจริงผมไม่เห็นตอนติดหรอก

มาเห็นเอาตอนออกจากบ้านมาทำงานของวันรุ่งขึ้นนั่นแหละ ก็ไปยืนเอามือไพล่หลัง เอียงคอมองซ้าย-มองขวา เห็นธงชาติไทยน้อยๆ พลิกพลิ้วเหมือนมีชีวิต คู่กับธงองค์พระราชันเหลืองสดใส

บ้านที่เคยซอมซ่อ พลันสว่างไสว งามสง่าขึ้นมาทันตาเห็น

ใจมันปลื้ม และพองฟูครับ!

เห็นธงองค์พระราชัน ก็พลันรู้สึกว่า..บ้านนี้อบอุ่นด้วยรังสีแห่งพระบารมี ดั่งพระองค์เสด็จฯ มาโอบเอื้อ ณ หัตถ์แห่งพระองค์

"พระเจ้าอยู่หัว" พระองค์นี้ของเรา ก็คือเทพ

ผู้จะขึ้นสู่ภาวะแห่งเทพนั้น ขึ้นมาด้วยการบำเพ็ญ ตบะ-บารมี อันบ่มด้วยความเพียรสม่ำเสมอ-เพียบพร้อมในศีลในธรรมสูงยิ่งระดับหนึ่ง

"ระดับหนึ่ง" นั้น ก็นับว่าสูงที่มนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย "น้อยนัก" จะเพียรพยายามจนบังเกิดอานิสงส์ส่งเสริมเข้าสู่ภาวะแห่งเทพ

ฉะนั้น...

กราบเถอะ

ไหว้เถอะ

บูชาเถอะ

กราบ-ไหว้-บูชา พระเจ้าแผ่นดิน "เทพในมวลหมู่มนุษย์" ด้วยใจมั่น ใจบริสุทธิ์ ใจศรัทธา อันเปลื้องสิ้นแล้วซึ่งมลทินคือความเคลือบแคลงสงสัย ขัดข้อง-ขุ่นเคืองใดๆ ทั้งมวล

ความเป็นสิริมงคล ย่อมเป็นอานิสงส์ประเสริฐสู่ผู้นั้น


ทำไมผมจึงว่า "ความเป็นสิริมงคล" จึงเกิดขึ้นได้กับผู้กราบ-ไหว้บูชาพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้ของเรา?

งานเฉลิมฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี ตรงนี้เป็นคำตอบง่ายๆ อย่างหนึ่งได้ว่า สังคมโลกนี้มี "พระมหากษัตริย์" ในหลายต่อหลายประเทศสืบเนื่องกันมา

การที่มนุษย์คนหนึ่งได้รับยกย่องให้เป็น ๑ ในมวลหมู่มนุษย์ ณ ชาตินั้นๆ นั่นก็ยากยิ่งอยู่แล้ว

แต่ ๑ คือพระมหากษัตริย์ที่เป็นได้ยากยิ่ง นั้น

ยังไม่เคยมีให้ปรากฏแม้สัก ๑ ในโลกนี้เลยว่า พระมหากษัตริย์พระองค์ใดจะทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานต่อเนื่องได้ถึง ๖๐ ปี!?

ก็มี "องค์พระภูมิพลอดุลยเดชฯ" พระเจ้าแผ่นดินของไทยเรา พระองค์เดียวนี้ ณ วาระนี้แหละ!


นี่คืออะไร?

นี่คือ อานิสงส์แห่งการสั่งสมด้วยบำเพ็ญ "ศีล-ธรรม" บนความพากเพียรอันยิ่งยวด จนเกิดเป็นตบะบารมี..

ศีล-ธรรม ที่ปฏิบัติด้วยความเพียรอันยิ่งยวด นี้คืออะไร..?

ก็คือ "ทศพิธราชธรรม" เป็นอาทิ!

"การเพียรทำความดีเป็นคุณธรรมของมนุษย์ การช่วยเหลือคนทำดีเป็นคุณธรรมของสวรรค์" ท่านเจ้าคุณประยุทธ์ ปยุตฺโต ท่านเคยกล่าวเช่นนั้น

ก็ด้วยความพากเพียรอันครัดเคร่งในทศพิธราชธรรมของพระองค์ดังประจักษ์แล้วตลอด ๖๐ ปีนั่นแล ก่อเกิดเป็นตบะบารมีให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราเข้าสู่ภาวะ

"องค์สมมุติเทพ" ที่เหนือเทพทั่วไปด้วย..ชั้นภูมิแห่งธรรม!


นั่นคือ ๖๐ ปี มิใช่เพราะพระองค์ทรงเจริญพระชนมายุเท่านั้น

หากแต่ "ชั้นภูมิแห่งธรรม" ที่พระองค์ทรงพากเพียรนั้น ไม่ปรากฏว่าจะมีชั้นกษัตริย์พระองค์ใด "เคี่ยวกรำ" ในพากเพียรให้เทียมถึงพระองค์ได้

เหตุเยี่ยงนั้นตะหาก... "๖๐ ปี" บนความงอกงามไพศาลใต้ร่มเงามหาเศวตฉัตร จึงคือพลานุภาพแห่งอานิสงส์จากทศพิธราชธรรม เป็นอาทิ สร้างประวัติศาสตร์ให้ปรากฏ.. มีเพียง ๑ พระมหากษัตริย์ของโลก!

เยี่ยงนี้..สิริมงคลจะไม่บังเกิดกับผู้กราบไหว้-บูชาองค์พระมหากษัตริย์ผู้เหนือเทพทั่วไปด้วยชั้น "ภูมิแห่งธรรม" อันประจักษ์แล้วได้อย่างไร!

ผู้จงรักด้วยภักดีไม่คลอนคลาย เปลื้องแล้วซึ่งความสงสัย และความมักใหญ่ใฝ่สูง

มีแต่เจริญประการเดียว!

ในทางกลับกัน ผู้กล่าวจงรักภักดี แต่จิตคลอนคลาย ซ่อนเงื่อนปมไว้ซึ่งความสงสัย และความมักใหญ่ใฝ่สูง

อวัง สิโร ความเป็นผู้มีหัวลง เสื่อมถอย-ต่ำทรามประการเดียว!

ประการใดเล่าคือ "ทศพิธราชธรรม" อันมีอานิสงส์ประเสริฐล้ำปานนั้น?

สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ วัดบวรนิเวศวิหาร แสดงถวายในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย วันจันทร์ที่ ๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๙๓ ความว่า

ทศพิธราชธรรม

"...ทานํ สีลํ ปริจฺจาคํ อาชฺชวํ มทฺทวํ ตปํ

อกฺโกธํ อวิหึสญฺจ ขนฺติญฺจ อวิโกธนํ

อิจฺเจเต กุสเล ธมฺเม จิเต ปสฺสาหิ อตฺตนิ

ตโต เต ชายเต ปิติ โสมนสฺสญฺจนปฺปกํ"

แสดงความเป็นไทยว่า ขอพระองค์ผู้เป็นบรมกษัตริยาธิราช จงทรงพระปรีชาสามารถพิจารณาเห็นราชธรรมที่เป็นกุศลส่วนชอบ ๑๐ ประการ ให้ดำรงในพระราชสันดานเป็นนิตย์ ดังนี้ ทานํ การให้ ๑ สีลํ การตั้งสังวรรักษากายวาจาให้สะอาดปราศจากโทษ ๑ ปริจฺจาคํ การบริจาคสละ ๑ อาชฺชวํ ความซื่อตรง ๑ มทฺทวํ ความอ่อนโยน ๑ ตปํ การกำจัดความเกียจคร้านและความชั่ว ๑ อกฺโกธํ การไม่โกรธ ๑ อวิหึสญฺจ การไม่เบียดเบียนผู้อื่นตลอดถึงสัตว์ให้ได้ทุกข์ยาก ๑ ขนฺติญฺจ ความอดทนต่อสิ่งที่ควรอดทนเป็นเบื้องหน้า ๑ อวิโกธนํ การปฏิบัติไม่ให้ผิดจากการที่ถูกที่ตรง และดำรงอาการคงที่ไม่ให้วิการด้วยอำนาจยินดียินร้าย ๑ บรรจบเป็นกุศลส่วนชอบ ๑๐ ประการ...

ทศพิธราชธรรมนี้ เมื่อพิจารณาด้วยดีจักเห็นได้ว่า มิใช่เป็นธรรมเฉพาะท่านผู้ปกครองประชาชนชั้นสูงสุดเท่านั้น แต่เป็นธรรมสำหรับผู้ปกครองทั่วไป ตั้งแต่ส่วนใหญ่ เช่น ประมุขของประเทศชาติ และรัฐบาล ตลอดถึงส่วนน้อย เช่น หัวหน้าครอบครัว ทั้งเป็นธรรมสำหรับผู้อยู่ในปกครองด้วย เพราะการปกครองจักดำเนินไปได้เรียบร้อยดี ผู้อยู่ในปกครองก็จำต้องประพฤติธรรมนี้ด้วยตามฐานะ เพราะฉะนั้น ราชธรรมนี้จึงเป็นธรรมสำหรับคนที่อยู่ด้วยกันเป็นหมู่เหล่า ตั้งแต่ครอบครัวหนึ่งจนถึงประเทศชาติ หรือทั้งหมด พึงประพฤติต่อกันเพื่ออยู่ด้วยกันเป็นสุขสงบ และมีความเจริญ..."


ครับ ผม "คัดลอก" ตรงนี้มาจากหนังสือ "พระมหากษัตริย์ยอดกตัญญู" ที่มูลนิธิร่วมจิตต์น้อมเกล้าฯ เพื่อเยาวชน ในพระบรมราชินูปถัมภ์ จัดพิมพ์ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี ใน พ.ศ. ๒๕๔๙ และแจกจ่ายเป็นธรรมทาน

และกราบขอบพระคุณท่านหนึ่งที่เมตตามอบหนังสือเล่มนี้ให้กับผม สำหรับผู้ที่สนใจ ผมเข้าใจว่าน่าจะไปขอรับได้ที่มูลนิธิ ตึกมหิดลชั้น ๔ ถนนราชวิถี เขตพญาไท กทม.นะครับ

รักในหลวง เทิดทูนในหลวง เป็นสิ่งดี..รักในหลวง เทิดทูนในหลวง แต่ไม่น้อมนำธรรม และกระแสพระราชดำรัสมาเป็น "ธงนำ" ในการดำรงแห่งความเป็นพสกนิกร และประชาชนของชาติ..ไม่เป็นสิ่งดี.

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์